หลังจากการค้นคว้ามาระยะหนึ่งแล้วในเรื่องวิชา นรลักษณ์ หรือ 相法 ทำให้ทราบว่า บางจุดของวิชานี้ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อะนาโตมี่ด้วย
ภาพนี้เป็นภาพที่ คนฝรั่งเศส วาดเอาไว้ ค.ศ.1748 ด้วยการผ่าพิสูจน์ พร้อมกับช่างวาดภาพวาดและลงสี ในซีกโลกหนึ่งที่ไม่รู้จักกับพระพุทธศาสนา คนเราก็พยายามค้นหาสาเหตุของความเจ็บไข้ได้ป่วย ตลอดจนความคิด นิสัย พฤติกรรม ผ่านสิ่งที่พอจะ แงะได้ ปาดได้ แหวกออกมาดูได้
อีกซีกโลกหนึ่ง ณ คศ. นั้น คือ ราว พศ 2291 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย สยามเรากลับไม่มีใครไปแงะไปค้นคว้าเรื่องนี้ ด้วยสิ่งที่น่าคิดสองประเด็นผ่านการที่เรารับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมานาน คือ
พระคัมภีร์อรรถกถาทั้งหลาย รวมทั้งพระไตรปิฎกก็ได้มีการอธิบายเรื่องอวัยวะตลอดจนการทำงานสำคัญเอาไว้ค่อนข้างละเอียด ต่อให้ไม่เจาะลึกทีละชิ้นๆเช่นฝรั่งทำก็ตาม และเรามี อสุภกรรมฐานกันอยู่แล้ว การไปมองดูศพของบ้านเราที่เน่าเปื่อยผุพังไปนั้น เลยไม่ใช่เรื่องลึกลับต้องแอบทำเหมือนซีกโลกนึงที่ให้รักษาร่างลงหลุมรอการเกิดใหม่
อีกอย่างคือ เราไปเน้นเรื่อง จิต มากกว่า กาย การพัฒนาการทางจิตของเราสูงมากจนผ่านออกมาในงานจิตรกรรมต่างๆ ปรากฎภาพสัตว์หิมพานต์บ้าง เทวดาบ้าง หรืออมนุษย์ตามตำนานต่างๆ ปรากฎภาพทั้งนรก สวรรค์ ละเอียดละออ เทียบได้ว่า ฝรั่งละเอียดเรื่องร่างกายแค่ไหน สยามเราละเอียดละออเรื่องนรกสวรรค์มาก เผลอๆคือ มากกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นคำบรรยายในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา หรือ อย่างที่อธิบายในไตรภูมิพระร่วง ตอนนึงว่า
บรรดาสัตว์ที่เกิดในโลกมนุษย์นี้มีการเกิดด้วยกำเนิดทั้ง ๔ ประเภท กำเนิดในครรภ์มีมากกว่ากำเนิดประเภทอื่น การกำเนิด ๓ ประเภทมีปรากฏเป็นบางครั้งเท่านั้น การกำเนิดในครรภ์ของคนทั้งหลายมีดังนี้ หญิงสาวทั้งหลายที่ควรจะมีบุตร บริเวณใต้ท้องน้อยภายในที่จะมีผู้มาเกิดนั้นจะมีก้อนเลือดทารกก้อนหนึ่ง แดงอย่างลูกผักปลัง เมื่อหญิงนั้นถึงระดูรอบเดือน และมีระดูไหลออกจากท้องแล้ว ต่อจากนั้นไปอีก ๗ วัน จึงนับได้ว่ามีครรภ์ ต่อจากนั้นระดูจะไม่ไหลอีกเลย หญิงยังไม่แก่ชรา อาจมีบุตรได้ทุกคน หญิงที่ไม่มีบุตรเป็นเพราะบาปกรรมของผู้มาเกิด ทำให้เกิดเป็นลมในครรภ์ ลมนั้นพัดถูกสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์ทำให้แท้งตายไป บางครั้งมีตัวตืด พยาธิ ไส้เดือน ในครรภ์ ซึ่งกินสัตว์ผู้มาเกิด ทำให้หญิงนั้นไม่มีบุตร
สัตว์เกิดในครรภ์นั้น แรกทีเดียวมีขนาดเล็กมากเรียกว่า “กลละ” ซึ่งมีขนาดเหมือนนำผมของมนุษย์มาผ่าออกเป็น ๘ ซีก แต่ละซีกมีขนาดเท่ากับผมของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำเส้นผมของมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปเส้นหนึ่งมาชุบน้ำมันงาอันใสงามมาสลัด ๗ ครั้งแล้วถือไว้ น้ำมันที่ไหลย้อยลงปลายเส้นผมยังใหญ่กว่ากลละนั้น หรือเทียบเหมือนขนของเนื้อทรายชื่อ อุณาโลม ที่อยู่เชิงเขาหิมพานต์ เส้นขนของเนื้อทรายนั้นเล็กกว่าเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีป เมื่อนำขนทรายอุณาโลมเส้นหนึ่งชุบน้ำมันงาที่ใสสะอาดงาม สลัดทิ้ง ๗ ครั้งแล้วถือไว้ น้ำมันที่หยดลงที่ปลายขนทรายนั้นจึงจะมีขนาดเท่ากลละนั้น
กลละนั้นใสงามราวกับน้ำมันงาที่ตักใหม่ งามดังน้ำมันเปรียงใหม่ ต่อจากนั้นจึงมีธาตุลม ๕ อย่าง ก่อตัวขึ้นพร้อมกันอยู่ในกลละนั้น
เมื่อแรกเกิดเป็นกลละนั้นมีรูป ๘ รูป ได้แก่ รูปดิน รูปน้ำ รูปไฟ รูปลม รูปกายประสาท รูปหญิงหรือชาย รูปหัวใจ และชีวิตรูป (คือสิ่งที่ทำให้มีธาตุยืนอยู่ได้) ในบรรดารูปทั้งหมดนี้ เกิดมีชีวิต ๓ รูปก่อน ๓ รูปนี้ คือรูปใดบ้าง คือรูปกาย รูปหญิงหรือชาย และรูปหัวใจ รูปทั้งสามมีบริวารรูปละ ๙ องค์ ได้แก่รูปใดบ้าง ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ถ้าเป็นบริวารของรูปกาย เมื่อรวมกับรูปกายจะรวมเป็น๙ ถ้าเป็นบริวารของรูปหญิงหรือชาย เมื่อรวมกับรูปหญิงหรือชายจะรวมเป็น ๙ และถ้าเป็นบริวารของรูปหัวใจเมื่อรวมกับรูปหัวใจจะรวมเป็น ๙ กลุ่มองค์ ๙ ทั้ง ๓ กลุ่มนี้ รวมกับชีวิตรูปจะได้กลุ่มรูป ๑๐ จำนวน ๓ กลุ่ม เกิดมีขึ้นพร้อมกันตั้งแต่แรกมีการเกิดในครรภ์
บรรดาสัตว์ที่เกิดในครรภ์มารดา แรกทีเดียวมีขนาดดังกล่าวแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น รวม ๔ รูปนี้จึงเกิดเป็นลำดับต่อมา รูปเหล่านี้เกิดจากกรรม ต้องปฏิสนธิจึงเกิด (ต่อจากนั้นเกิดรูปอาหาร ต้องมีอาหารที่แม่กินจึงเกิด เกิดหลังจากเกิดรูป ๒ กลุ่ม ดังกล่าวแล้ว) เมื่อเกิดรูปใจซึ่งอาศัยจิตดวงที่ ๒ มาเกิด จะเกิดรูป ๘ รูป ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน”[๑] เมื่อเกิดรูปซึ่งเกิดจากฤดู เป็นรูปซึ่งอาศัยการดำรงอยู่ จะเกิดรูป ๘ รูปขึ้น ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีฤดูเป็นสมุฏฐาน” เมื่อเกิดรูปอาหารซึ่งอาศัยโอชารสที่มารดากินข้าวน้ำนั้น จะเกิดรูป ๘ รูป ชื่อ “กลุ่มรูปที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน”
รูปที่จะเกิดเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี เกิดตั้งแต่แรกเป็นกลละ แล้วโตขึ้นวันละเล็กละน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดังน้ำล้างเนื้อเรียกว่า “อัมพุทะ” อัมพุทะโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน ข้นดังตะกั่วเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกว่า “เปสิ” เปสินั้นโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนเหมือนไข่ไก่ เรียกว่า “ฆนะ” ฆนะนั้นโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน เป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งเหมือนหูดเรียกว่า “ปัญจสาขา” หูดนั้นเป็นมือ ๒ ข้าง เป็นเท้า ๒ ข้าง เป็นศีรษะอันหนึ่ง ต่อจากนั้นไปโตขึ้นทุกวัน เมื่อถึง ๗ วัน เป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ ต่อจากนั้นไปเมื่อถึง ๗ วัน ครบ ๔๒ วัน จึงเป็นผม เป็นขน เป็นเล็บมือ เล็บเท้า ครบอวัยวะเป็นมนุษย์ทุกประการ
รูปของสัตว์เกิดในครรภ์มี ๑๘๔ รูป คือ ส่วนกลาง (ตั้งแต่คอถึงสะดือ) มี ๕๐ รูป รูปส่วนบน (ตั้งแต่คอถึงศีรษะ) มี ๘๔ รูป รูปส่วนเบื้องต่ำ (ตั้งแต่สะดือถึงฝ่าเท้า) มี ๕๐ รูป สัตว์เกิดในครรภ์นั่งอยู่กลางท้องมารดาหันหลังมาติดหนังท้องมารดา อาหารที่มารดารับประทานเข้าไปก่อน จะอยู่ใต้สัตว์เกิดในครรภ์ ส่วนอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปใหม่ จะอยู่บนสัตว์เกิดในครรภ์ สัตว์เกิดในครรภ์มีความลำบากอย่างยิ่ง น่าเกลียด น่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ทั้งชื้นสกปรกมีกลิ่นเหม็น ตัวตืดและพยาธิไส้เดือน ๘๐ ตระกูลที่อาศัยปนกันอยู่ในท้องมารดา ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะในท้องมารดานั้น ท้องมารดาของสัตว์ที่เกิดในครรภ์เป็นที่คลอดลูก เป็นที่เกิด เป็นที่แก่ เป็นที่ตาย เป็นป่าช้าของพยาธิเหล่านั้น เหล่าตัวตืดและพยาธิไส้เดือนเหล่านั้นได้ชอนไชสัตว์เกิดในครรภ์นั้นเหมือนหนอนที่อยู่ในปลาเน่า และในอาจมนั้น สายสะดือของสัตว์เกิดในครรภ์กลวงดังสายบัวอุบล ปากสะดือกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องมารดา ข้าว น้ำ อาหาร และโอชารสที่มารดากินเข้าไป เป็นน้ำชุ่มซึมเข้าไปตามสายสะดือในท้องสัตว์ที่เกิดในครรภ์ทีละน้อย ๆ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ได้กินอาหารดังกล่าวทุกวัน ทุกเช้าเย็น อาหารเข้าไปอยู่เหนือศีรษะทับศีรษะสัตว์เกิดนั้น สัตว์เกิดนั้นได้รับทุกข์มากนัก สัตว์เกิดนั้นจะอยู่เหนืออาหารที่มารดากินเข้าไปก่อน เบื้องหลังสัตว์นั้นติดกับหนังท้องมารดา นั่งยอง ๆ อยู่ กำมือทั้ง ๒ ไว้ที่หัวเข่า คู้หัวเข่าทั้งสอง เอาศีรษะไว้เหนือหัวเข่า ขณะนั่งอยู่เลือดและน้ำเหลืองหยดลงเต็มตัวทีละหยดทุกเมื่อ เหมือนลิงเมื่อฝนตกนั่งกำมือซบเซาอยู่ในโพรงไม้นั้น ในท้องมารดานั้นร้อนรุมนักหนา ดุจดังคนเอาใบตองไปจุดไฟเผาและต้มน้ำในหม้อ อาหารทุกสิ่งที่มารดากินเข้าไปถูกเผาไหม้และย่อย ส่วนสัตว์ที่เกิดขึ้นในครรภ์ ไฟธาตุไม่ไหม้ เพราะบุญของสัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่ไหม้และไม่ตายเพราะเหตุนั้น อนึ่ง สัตว์ที่เกิดในครรภ์ไม่หายใจเข้าหายใจออกเลย ไม่ได้เหยียดมือและเท้าออกเช่นเราท่านทั้งหลายนี้แม้แต่ครั้งเดียว ต้องเจ็บปวดตนเหมือนถูกขังไว้ในไหที่คับแคบมาก คับแค้นใจและเดือดร้อนใจอย่างยิ่ง ไม่ได้เหยียดมือและเท้าออกเหมือนถูกขังในที่แคบ เมื่อมารดาเดินก็ดี นอนก็ดี ลุกขึ้นก็ดี สัตว์ที่เกิดในครรภ์จะเจ็บปวดประหนึ่งว่าจะตาย เหมือนลูกเนื้อทรายคลอดใหม่ตกอยู่ในมือคนเมาเหล้า ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนดังลูกงูที่หมอเอาไปเล่น นับได้ว่าความทุกข์ลำบากใจนักหนา ไม่ได้ลำบากเพียง ๒ วัน ๓ วัน แล้วพ้นความลำบาก ต้องอยู่ยากลำบาก ๗ เดือน บางคราว ๘ เดือน บางคราว ๙ เดือน บางคราว ๑๐ เดือน บางคน ๑๑ เดือน บางคนครบหนึ่งปีจึงคลอดก็มี
ผู้ที่อยู่ในท้องมารดาได้ ๖ เดือน และคลอดออกมา ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ ผู้ที่อยู่ในท้องมารดา ๗ เดือน คลอดออกมา แม้ว่าจะเลี้ยงเป็นคนได้ก็ไม่ได้เติบโตกล้าแข็ง ทนแดดทนฝนไม่ได้ ผู้ที่จากนรกมาเกิด เมื่อคลอดออกมาตัวร้อน เมื่อสัตว์นั้นอยู่ในท้องมารดาจะเดือดร้อนใจและหิวกระหาย เนื้อมารดานั้นก็พลอยร้อนไปด้วย ผู้ที่จากสวรรค์ลงมาเกิดเมื่อจะคลอดออก เนื้อตนสัตว์ที่เกิดนั้นเย็น เย็นกาย เย็นใจ เมื่ออยู่ในท้องมารดาก็อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ เนื้อกายมารดาก็เย็นด้วย เมื่อถึงเวลาจะคลอด จะมีลมในท้องมารดาพัดผันตนสัตว์ที่เกิดให้ขึ้นเบื้องบน ให้ศีรษะลงเบื้องต่ำสู่ที่จะคลอด เหมือนเหล่าสัตว์นรกถูกยมบาลจับเท้า หย่อนศีรษะลงในขุมนรกที่ลึกร้อยวา สัตว์ที่เกิดนั้นเมื่อจะคลอดออกมาจากท้องมารดา ออกมายังไม่ทันหลุดพ้น ตัวจะเย็นเจ็บปวดยิ่งนัก ประดุจดังช้างสารที่คนชักเข็นออกจากประตูขนาดเล็กและคับแคบ ออกยากลำบากยิ่งนัก หรือเปรียบเหมือนดังสัตว์นรกถูกภูเขาคังไคยหีบบดขยี้นั่นเอง ครั้นคลอดออกจากท้องมารดาแล้ว ลมในท้องของสัตว์ที่เกิดนั้นจะพัดออกก่อนลมภายนอกจึงพัดเข้า เมื่อพัดเข้าถึงลิ้นสัตว์ที่เกิดจึงหยุด เมื่อออกจากท้องมารดาแล้ว นับแต่นั้นไป สัตว์ที่เกิดจึงรู้จักหายใจเข้าออก ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่นรกหรือมาจากเปรตจะคิดถึงความทุกข์ลำบาก เมื่อคลอดออกมาจะร้องไห้ ถ้าสัตว์ที่เกิดมาแต่สวรรค์ เมื่อคิดถึงความสุขในหนหลัง ครั้นคลอดออกมาแล้วจะหัวเราะก่อน แต่มนุษย์ผู้อยู่ในโลกนี้หรือในจักรวาลอื่น ๆ เมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี เมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดาก็ดีในกาลทั้ง ๓ นี้ จะหลงลืมไม่รู้ตัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่สิ่งเดียวเลย
ผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี เป็นพระอรหันตขีณาสพก็ดี และเป็นพระอัครสาวกก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดาก็ดี ทั้ง ๒ ระยะย่อมไม่หลง และคำนึงรู้อยู่ทุกสิ่ง เมื่อจะคลอดจากครรภ์มารดา ถูกลมกรรมชวาต คือ ลมเบ่งพัดผันให้ศีรษะลงสู่ที่คลอดซึ่งเบียดตัวแอ่นยันมาสู่ที่จะคลอด ได้รับความเจ็บปวดตนลำบากนักดังกล่าวมาแต่ก่อน และพลิกศีรษะลงโดยไม่รู้สึกตัว ไม่เหมือนผู้จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือผู้จะมาเกิดเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า จะรู้สึกตน ไม่ลืมตน ในเวลาทั้ง ๒ นี้ คือเมื่อแรกเกิดในครรภ์มารดาและระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา แต่เมื่อจะคลอดจากครรภ์มารดาจะหลงเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ส่วนมนุษย์ทั้งหลายนี้จะหลงลืมทั้ง ๓ กาล ฉะนั้นควรเบื่อหน่ายสงสารนี้
พระโพธิสัตว์ในชาติที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อแรกกำเนิดก็ดี ระหว่างอยู่ในพระครรภ์พระมารดาก็ดี และขณะจะประสูติจากพระครรภ์พระมารดาก็ดี จะไม่หลงลืมแม้ครั้งเดียว จะระลึกรู้ทุกประการ เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระครรภ์พระมารดา จะไม่เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ติดกับหลังพระครรภ์พระมารดา ประทับนั่งสมาธิ ดังนักปราชญ์ผู้สง่างามนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ มีพระวรกายเรืองงามดังทอง เห็นแสงรังรองเหมือนกับจะเสด็จออกมาภายนอกพระครรภ์ พระมารดาพระโพธิสัตว์ก็ดี มนุษย์อื่น ๆ ก็ดี จะเห็นพระโพธิสัตว์รุ่งเรืองงามดังเอาไหมแดงมาร้อยแก้วขาวฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์จะเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา ลมอันเป็นบุญมิได้พัดผันพระเศียรลงเบื้องต่ำ และพัดพระบาทขึ้นเบื้องบนเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงเหยียดพระบาทออก และเมื่อจะเสด็จออกจากพระครรภ์จะทรงลุกขึ้นแล้วจึงเสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา อนึ่ง พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ในหลาย ๆ ชาติ จะเป็นประดุจครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย ซึ่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้ ไม่เคยมีในชาติก่อน ๆ ที่ล่วงมาแล้ว มีสภาพเป็นปกติธรรมดาเหมือนคนทั้งหลายทั้งปวง เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าสู่พระครรภ์พระมารดาก็ดี เมื่อประสูติก็ดีจะเกิดแผ่นดินไหวทั่วหมื่นจักรวาล น้ำอันรองแผ่นดินก็ไหว น้ำในมหาสมุทรเกิดคลื่นฟูมฟอง ภูเขาพระสุเมรุก็หวั่นไหวด้วยบุญญาธิการของพระโพธิสัตว์ พระผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น
มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ดิ ครั้นคลอดออกจากท้องของมารดาแล้ว จะได้ดูดกินโลหิตในอกมารดาที่กลายมาเป็นน้ำนมไหลออกจากอกมารดาด้วยความรักลูกนั้น สิ่งนี้เป็นธรรมดาวิสัยของโลกทั้งหลาย
มนุษย์ทั้งหลายเจริญวัยโดยลำดับโดยอาศัยบิดามารดา เมื่อบิดามารดาพูดภาษาใด ๆ ก็ดี บุตรธิดาได้ยินบิดามารดาพูดภาษานั้น ๆ ก็จะพูดภาษานั้น ๆ ตามบิดามารดา ถ้าบุตรธิดาเจริญเติบโตใหญ่กล้าแข็งแรงไม่รู้ภาษาใด ๆ เลย บุตรธิดาก็จะพูดภาษาบาลีตามที่ท่านว่าไว้ เมื่ออายุ ๑๖ ปี จึงหย่านม
เลยได้ความว่า ฝรั่งเขามาวาด มาแหวก มาแงะ มาศึกษาสิ่งที่สยามเรามีความรู้มานานหลายร้อยปีแล้ว เพราะไตรภูมิพระร่วงมีมาแต่ก่อนสมัยอยุธยาแล้ว เราไปค้นพบอณูเล็กที่สุดที่ประกอบเป็นร่างกายคนได้ว่าคือ
ดิน น้ำ ลม ไฟ สี่ธาตุ เท่านั้นเอง โดยที่ตอนนี้ ฝรั่งเองยังหาไม่เจอ
เราค้นพบว่า ชีวิตคนเรา ประกอบด้วยขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือย่อๆว่า ร่างกาย ความรู้สึก นึก คิด จิตใจ ห้าอันรวมกัน ซึ่งฝรั่งก็ยังไม่ลงหลักปักใจเชื่อเรื่องนี้ น่าตลกที่หนทางในการจะไปรู้สิ่งเหล่านี้ได้ด้วย การมี ทาน ศีล ภาวนา และต้องเป็นไปเพื่อวิปัสสนาญาณ คือ สละ ลด ละ ไม่ยึดถือ ถึงจะไปพบ ไปเจอได้ โอ้หนอ สิ่งที่ฝรั่งค้นคว้า กลับไปในแนวทางที่ ตาต้องได้เห็น หูต้องได้ยิน ปรากฎเป็นภาพออกมาได้ คนต้องรู้ร่วมกันได้ทุกๆคนไม่ว่าคนนั้นจะ กิเลสหนาปัญญาหยาบ หรือ จะเป็นคนฉลาดต้องเข้าถึงได้หมด
มันคือข้อดีที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลทางฝรั่งนั้นที่เขา แหวกออกมา ทำการทดลองด้วยศพก็ดี ร่างกายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี แต่รู้ตัวอีกทีอาจมาพบตัวเอง ณ จุดแก่มากๆแล้วว่า จะไปอย่างไรต่อละทีนี้ เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน คงเวียนเข้ามาถามอีกรอบเป็นแน่
โหงวเฮ้งหลายจุด เป็นจุดเชื่อมประสาน หรือ กระดูกมาเชื่อมกัน หรือ เส้นประสาทมากระจุกตัวที่นั้นมาก หรือ ส่วนกระโหลกยื่นออกมา ณ ส่วนนั้นมาก และเป็นจุดลมปราณที่เรียกว่า 穴 เรามาศึกษาแล้วเราอาจเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ว่านี้ไม่ใช่วิชางมงายแต่ประการใด เป็นวิทยาศาสตร์แบบโบราณที่คนโบราณพบ และค้นคว้า จนปล่อยวางมานานแล้ว แลดูว่า วิชาที่ถ่ายทอดกับต้นทางที่ทำให้เกิดเหตุค้นคว้านี้ ช่างไกลกันเหลือเกิน อาทิเช่น
ผู้มีดวงตาที่หนังตาหุ้มรอบตาเยอะจะเป็นคนมีสมาธิ และช่างสังเกตมาก หากเรามาตีความจะพบว่า ความสามารถในการกลอกลูกตาได้เหมือนคนปกติแต่มีหนังหุ้มตาปรกมากกว่าคนทั่วไป ทำให้การจดจ่อทำได้ง่าย คือ มองไม่เห็นในมุมอับของสายตาที่คนปกติเขามองเห็นได้ เปรียบเทียบเหมือน ตาคนที่มองมุมกว้างได้ไม่เท่ากับ ตาปลา ตาปลาสามารถมองตรงหน้าแต่ภาพที่ปรากฎนั้นเห็นกว้างไปถึงค่อนหลังปลาได้ ความวอกแวกที่ไหนจะเกิด
เราจะได้มองคนใหม่ว่า คนนี้ นิสัยใจคอแบบนี้ ก็เพราะ ร่างกายเขาด้วย เป็นเหตุหนึ่ง ที่ส่งเสริม หรือ บั่นทอน ทำให้เกิดนิสัยนั้นๆออกมา เราจะไม่มองคนว่า นายคนนี้ ชั่วช้าตลอดกาลนาน หรือ สตรีท่านนี้ช่างดีเลิศจริงๆ เราจะมองเป็นแค่การทำงานร่วมกันของ อวัยวะ ร่างกาย ความรู้สึก นึก คิด จิตใจ เท่านั้นเอง
ผมเห็นด้วยที่ทั้ง ไอสไตน์ และ สตีเว่น ฮอฟกิน ไม่ได้ศรัทธาในพระเจ้า หรือการต้องมาปลุกชีพให้เกิดใหม่ เพราะทั้งสองท่านล้วนเชี่ยวชาญเรื่อง กาลเวลา มากนัก เสนอทฤษฎีต่างๆที่จะพยายามพิสูจน์เรื่อง ชีวิต และกาลเวลาให้เป็นวิทยาศาสตร์ และยืนยันกันมาว่า ชีวิตคนปัจจุบันกำลังก้าวไปสู่สิ่งถอยหลัง แต่อธิบายไม่ออกว่า ถอยหลังไปไหน และเพราะอะไร คำตอบก็คือ
ทั้งการแพทย์ การศึกษา ของโลก หรือ เฉพาะสยามเอง กำลังมุ่งไปที่กายภาพ ปฏิเสธว่า ปรากฎการณ์ทางจิต การทำนายทายทัก การล่วงรู้อนาคต การล่วงรู้ใจคน เป็นสิ่งที่งมงาย เพราะถ้าจริงตัวเองต้องเห็นด้วยได้ นี้เป็นการพอกพูน อัตตาตัวตน โดยไม่รู้ตัวว่า คุณเห็น ถ้ามันจริง ผมก็ต้องเห็นได้ด้วย ทำให้ประมาทไม่มาพิจารณาเรื่อง กรรม ว่า คนเราทำกรรมมาต่างกัน บำเพ็ญมาต่างกัน คุณภาพจิตก็ต่างกัน พาลให้ไปลังเลสงสัยถึงขั้นกล่าวหาพระไตรปิฎกว่า บางส่วนไม่ใช่คำพระตถาคตเจ้า อาจเพราะเขาไม่เห็นเทวดากระมัง
พระไตรปิฎกเป็น หนังสือสารานุกรมชีวิต ที่ค่อนข้างแฟนตาซีมากนะผมว่า มีทั้งคน เทวดา มาร พรหม เปรต นรก สวรรค์ มีหมดเลยครับ บางพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าคุยกับเทวดาเสียด้วยซ้ำ เรื่องฤทธิ์ทั้งหลายก็ปรากฎมีเป็นอันมากในพระไตรปิฎก
มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ความเป็นอารยะทางวิชาการของสยามประเทศที่ถูกตราหน้าว่า ศาสตร์งมงาย จะได้ถูกฟื้นคืนมา ทำไมคุณไม่คิดว่า ซีกโลกกระโน้นเกรงกลัวในอานุภาพทางจิตของสยามเรา ไม่ว่าจะเป็น ฤทธิ์ ไสย หรือ โหรฯ ตลอดจนการแพทย์แผนไทย จึ่งได้พยายามตีตราว่า งมงาย เชื่อไม่ได้
การอ่านพระไตรปิฎกคุณต้องอ่านอย่างมีปัญญาว่า พระพุทธเจ้าสอนคนต่างๆกันไป บางทีสอนคนมีฤทธิ์มาก ยึดติด ท่านก็จะมุ่งหมายให้สละ ละ วาง แต่บางที ทั้งอัครสาวกเอง หรือพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงฤทธิ์ เพื่อสั่งสอนธรรมเช่นเดียวกัน คุณต้องมองตัวเองให้ออก ว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน บุญกุศลสั่งสมมาทางไหน การเรียนวิชาพวกนี้ ถ้ามีปัญญามันทำให้ ปลงโลก และย้อนกลับมามองตัวเองทุกครั้งนะ ว่า ชีวิต ต้องการอะไร เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน สามคำถามนี้ ถามกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลครับ
Comments