ปี่เซี้ยะ(อ่านแบบแต๊จิ๋ว) บางคนก็อ่าน ผีซิ่ว (อีกคำนึง แต่ชื่อของตัวนี้เหมือนกัน) บางคนก็อ่าน พี่เสียะ (อ่านออกเสียงแบบจีนกลาง) จริงๆสมัยก่อน เค้าเอาไว้ทำประโยชน์สองเรื่อง คือเป็นสัญลักษณะแสดงอำนาจของผุ้วายชนม์ในหลุม กับ เฝ้าหลุมศพ มองดูดีๆ ท่านจะพบว่า มีความแตกต่างกับ สิงโตจีน คือมีปีกหรือแพนข้างๆแขน และเหินหน้าขึ้นฟ้าเสมอ สื่อนัยว่าขอให้คนที่ตายนี้ได้ไปเป็นเซียนบนสวรรค์เถิด คิดๆมองๆไป เหมือน สฟริงค์ของอียิปต์มากๆ เอ้อ ละเค้ายังอธิบายอีกว่า ปี่เซี๊ยะ จริงๆแล้วมีชื่อเรียกเฉพาะท่าทาง คือ ปี่เซี้ยะที่ยืนสี่ขา ก็เรียกชื่อว่า ปี่เซี้ยะ ส่วนที่หมอบดูเหมือนไม่มีค่า เพราะกำลังเหินเวหาอยู่ ชื่อว่า เทียนลู่ น่าสงสารสัตว์มงคลนะ สมัยนี้ไม่ว่าตัวอะไร ถูกใช้ให้หอบก้อนเงินก้อนทองหมด มีหน้าที่พิเศษกันถ้วนหน้าคือ นำโชคลาภ ช่วยเงินทอง ค้าขาย วันๆเอาแต่แบกเงินแบกทอง อีกหน่อยใครจะเฝ้าหลุมศพหละหนะ
รูปแกะสลัก ปี่เซี๊ยะ ที่ได้รับการยอมรับเรื่องความสมบูรณ์และเก่าแก่อยู่ที่ลั่วหยาง สูง หนึ่งจุดเก้าเมตร ลำตัวยาว สองจุดเก้าเจ็ดเมตร ปี่เซี๊ยะหินดังกล่าวนี้ หัวมีลักษณะคล้ายสิงโต ดวงตาดุดัน มุ่งมั่น คิ้วน่าเกรงขาม อ้าปาก เงยหน้า หัวบิดทางซ้ายเล็กน้อย (แสหลัว :ซ้ายหยาง ขวายิน เคยพูดแล้ว) มีขนแผงคอตรงข้างกระพุ้งฯ ลำตัวเหมือนเสือดาว เต็มไปด้วย ชี่หยางกาง คือ ลักษณะที่เข้มแข็งน่าเกรงขาม ลำตัวมีมัดกล้ามเนื้อชัดเจน ด้านล่างเห็นแนวกระดูก ส่วนสันหลังมี เจ็ด ปุ่ม เท้าซ้ายอยู่ในท่ากำลังเดิน นำหน้าเท้าขวา ใต้อุ้งเท้าซ้ายมีสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่ สัตว์นั้นนอนแบบหยาง (แสหลัว : คือ นอนแบบนอนหงาย) ประหนึ่งว่ากำลังอยากลุกขึ้นมา ด้วยภาพรวมทั้งหมดแสดงให้เห็นสื่ออารมณ์ว่า กำลังเคลื่อนไหวอย่างมีพลัง ปี่เซี้ยะที่ว่านี้ถูกค้นพบ ณ บริเวณสุสาน กวงอู่ตี้ แห่งราชวงศ์ตงฮั่น
บางคนเชื่อว่า เป็นสัตว์ที่พัฒนารูปแบบมาจากสัตว์ชื่อ ฉงฉี 穷奇 บรรยายใน คัมภีร์ ซานไห่ว่า รูปร่างคล้ายเสือ มีปีก ทำหน้าที่ขับไล่สิ่งชั่วร้ายอัปมงคล
บางคนก็เชื่อว่า ปี่เซี้ยะ เป็นสัตว์ผสมรูปแบบมาจากสัตว์หลายๆชนิดรวมกัน รับผสานเอาวัฒนธรรมต่างชาติมา ผสมผสาน แล้วออกเป็นสัตว์ใหม่
คนแต่ก่อนตั้งเป็นคู่ไว้หน้าหลุมศพ เพื่อป้องกันภูติผีปีศาจมารร้าย ปกป้องร่างศพ
รูปแบบในสมัยเดียวกัน ยังมีปี่เซี้ยะที่มีหนวดคางงอๆ สี่เท้าไม่ได้จับอะไรไว้ และมีปีกสองข้าง หรือมีปี่เซี้ยะ แบบสองเขา ก็มี บางตัวก็ไม่ได้มีมัดกล้ามเนื้อที่ชัดเจน แต่ดูแข็งแรง ยังมีข้อสังเกตว่า ปี๊เซี้ยะมักไม่ถูกวางให้ คู่ขนานกัน แต่วางให้เหลื่อมกัน มีตัวล้ำหน้า กับตัวหลัง
นักวิชาการก็จะให้ข้อมูลอย่าง ทีวีหรือสื่อก็จะให้อีกอย่าง วงการค้าก็จะให้อีกอย่าง เรื่องธรรมด๊า ขนาดผมเขียนบทความ ผมยังไม่เขียนเรื่อง ขนมของจีนเท่าไหร่เลย ก็เราไม่ได้ขายขนม ตะก่อนสมัยซินแสหลัวออกจากเปลือกใข่ใหม่ๆ ยิ่งกว่าถล่มสวรรค์ เที่ยววิพากษ์ชาวบ้านเขาไปทั่ว ถ้ากระดูกไม่แข็งจริง วันนี้ล้มหายตายจากไปนานละนะ บางคนเขาแค้นผมจนผมขอโทษกี่หนๆ ก็ไม่ให้อภัยก็มี ก็สมัยเรียนวิชาว่าความเพื่อนบอก อย่างแกต้องได้เอบวกบวก อย่าว่าแต่พูดให้ผิดเป็นถูกเลย พูดให้คนถูกกลายเป็นผิดมาขอโทษแกก็ทำได้ เอ้อ เค้าชมกันแรงขนาดนั้นเลยนะ พอเราพบธรรมะพุทธเจ้า เลยว่า อ้อออ เราชอบโดนคนมาสายเวลาเราเรียกประชุม หรือโดนนินทาเพราะเราชอบวิจารณ์ด้วยโทสะเอาเป็นเอาตายนี่เอง คือถูกจริงหรือไม่ถูกมากก็แล้วแต่ แต่มุ่งหมายจะคว่ำอีกฝ่ายลงให้ได้ ละก็ด้วยความเจ้าชู้สุดๆ เลยมีศัตรู ภัย เวร จำได้ว่ามีครั้งนึงว่าเคยเอาหนังสือที่เขาเขียนเรื่องดวงจีน มาขีดๆ ด้วยปากกาแดงว่า อันนี้ก็ผิด อันนี้ก็เพี้ยนๆ แดงเต็มหน้า เจ้าตัวก็ไม่พอใจเหมือนผมไปว่าเขา ก็โกรธมากๆ ผมก็ยังกล้าพิมพ์กลับไปว่า ถ้าทำผลงานอะไรออกมาละจะเอาแต่คำชม ไม่ยอมรับคำวิจารณ์นะ อย่าทำเล้ย แทนที่เค้าจะเคืองผมเพิ่ม เค้ากลับว่า เอ้อ ก็จริงเนาะ พระอาจารย์ก็สอนว่า ชมก่อน หาข้อดีเขามาพูดก่อน แล้วค่อยว่ากล่าวแนะนำ ไม่ใช่ โพล่งมาก็ว่าฉอดๆ ใครๆก็รับไม่ได้ เธอรับได้ไหม เดินเข้าวัดมาละ มีแต่คนชี้หน้าใส่เธอ ตั้งแต่นั้นมา ถ้าไม่สนิทจริงจัง ผมไม่กล้าวิจารณ์ผลงานใครออกสื่ออีกเลย เห็นมั้ยก็แบบปี่เซี้ยะ เกิดมีใครไปถามแม่ค้า เธอๆ ชั้นอ่านเพจซินแสหลัวเมื่อคืน ของที่เธอเอามาขายบอกว่าเรียกทรัพย์ กินทองได้ อึไม่ออก เรียกเข้าอย่างเดียวหนะ แสหลัวเค้าเล่าว่า นักวิชาการจีนในรายการทีวีจีน ช่อง ซีซีทีวี เบอร์สี่ บอกว่า ดั้งเดิมเค้าเอาไว้เฝ้าหลุมศพ เอ้อ ละปี่เซี้ยะก็เฝ้าหลุมศพ สิงโตก็เฝ้าบ้านคนใหญ่คนโต ละตกลง แมงอะไรเรียกทรัพย์ ก็ไม่รู้สินะ เท่าที่เห็นๆมา คนจีนไม่ค่อยขอทรัพย์จากสัตว์เท่าไหร่ งั้นเทวดาทรัพย์ ไฉ่ซิ้ง จะมีมากมายก่ายกองเรอะ แบบนี้จะเอาไง ไหว้สัตว์ หรือ ไหว้เทวดา แน่นอนก็ออกมาในเชิงเรียกทรัพย์หละ เพราะ ทั้ง ปี่เซี๊ยะ ทั้งสิงโต ถูกตั้งหน้าหลุม หรือ หน้าบ้าน คนมั่งมี หรือขุนนาง หรือเชื้อพระวงศ์ทั้งนั้นเขาก็รวยดีมีเกียรติกันจริง พอมายุคปฏิวัติวัฒนธรรม การแบ่งชั้นชน ระหว่าง ชนชั้นสูง กับ ไพร่ ถูกทำลายลงไป ชาวบ้านธรรมดาสามัญจะใช้ของที่ฮ่องเต้ใช้ ก็ไม่ได้โดนลากไปตัดคอเสียเมื่อไหร่ ย้ำในบทความนี้อีกรอบ ของดีก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าจะเข้ากับวาสนาเธอได้ จงเจียมตนในหน้าที่ ในฐานะตน การเอาของสูงเกินไป มาใช้สอย ไม่ควรทำ วันนี้เธอไปนั่งเก้าอี้คนรวย ก็ไม่ได้ทำให้เธอเป็นคนรวยขึ้นมาได้ สิ่งของก็เป็นเช่นดั่งเก้าอี้ นั้นแล
ซินแสหลัว
Comments