เวลาไปหาหมอดูส่วนใหญ่เค้ามักบอกให้ ปล่อยสัตว์ ทำสังฆทาน หรือทำบุญเพื่อสะเดาะห์เคราะห์ต่างๆ คนเราส่วนใหญ่ก็มักจะมองหมอดูแบบนี้ไปในทางหมิ่นๆว่า งมงาย ไม่น่าเชื่อถือ หรือเอนเอียงไปทางสิ่งที่มองไม่เห็น ค่อนข้างจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระ เหตุว่าหาเหตุหาผลในเรื่องนี้ยากมาก ว่าการไปทำต่างๆแบบที่บอก จะทำให้ดวงชะตาดีขึ้นได้อย่างไร
ด้วยการค้นคว้ามายาวนานของผม ขอบอกเลยว่า ในตำราทางโหราศาสตร์ไทย ตลอดจนล้านนา อาณาจักรที่อยู่ร่วมเคียงแดนดินอยุธยามาแต่เดิม ล้วนแต่มีตำราเรื่องการเสริมดวงในทางโหราศาสตร์ แบบไม่มีเวทย์มนต์คาถามาเกี่ยวข้องนัก เป็นไปในลักษณะสองส่วนคือ
1.ส่วนเกี่ยวกับตัวเอง เช่น การนุ่งผ้า ถุงย่าม สิ่งของที่ควรพก ดาบประจำกาย ไม้ตะพด ตลอดจนการตัดเล็บ ตัดผม ฯ 2. ส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่น เช่น การทำบุญถวายทาน การสร้างเสนาสนะในพระพุทธศาสนา การไหว้สักการะพระบรมธาตุปีเกิด ฯ
ผมเลยขอบอกตรงนี้เลยว่า เรื่องการทำบุญเพื่อแก้ไขดวงชะตานั้น มีมาแต่โบราณและมีอยู่ในตำราด้วย เช่น การถวายธรรม หรือพระสูตรที่จารบนใบลานเป็นทาน ท่านสามารถหาอ่านได้ในบทความของผม เรื่อง ธัมม์ชาตาเกิด
เพราะฉะนั้น การปล่อยสัตว์ ให้ชีวิต การทำทานกุศลด้วยเงินทองหรืออามิสสิ่งของเหล่านี้ ล้วนมีส่วนส่งเสริมหรือแก้ไขดวงชะตาได้ทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่คนโบราณยึดถือปฎิบัติมาอย่างช้านาน แต่คนสมัยใหม่ไม่ได้สนใจศึกษาให้ถ้วนถี่ในจารีต และเกิดการตกหล่นในการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นก็เลยไม่ทราบ
ผลานิสงค์ของการทำทาน ค่อนข้างจะตอบโจทย์แก่ฆราวาสผู้ครองเรือนทั้งหลายที่ยังต้องการ ลาภผล เงินทอง ยศเกียรติ ได้อย่างดี มีหลักฐานในพระพุทธธรรมหลายๆเรื่องยืนยัน เช่น
อายุวัฒนะกุมาร การกราบไหว้ท่านผู้มีคุณทำให้อายุยืน
ทักขิณาวิภังคสูตร เวลามสูตร และกูฏทันตสูตร ลำดับอานิสงค์การให้ทานแก่บุคคลผู้มีจิต หรือบรรลุธรรมขั้นต่างๆ การเลื่อมใสในพระรัตนตรัย การสมาทานศีล การเจริญเมตตาจิตเพียงชั่วเวลาสูดดมของหอม การเจริญอนิจจสัญญาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ
อิสสัตถสูตร ควรให้ทานในที่ที่มีจิตเลื่อมใส ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลแลมีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีลนั้นตรงข้าม
ชัปปสูตร
ผู้ใดแลห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ย่อมทำอันตรายแก่บุญของผู้ให้ แก่ลาภที่ผู้รับจะได้ และแก่ความดีของตนเอง พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับ คนตั้งใจสาดน้ำล้างจานล้างขัน ที่มีเศษอาหาร ลงแอ่งน้ำครำแถวบ้าน เพื่ออยากจะให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยได้กิน ยังได้บุญ การทำบุญกับคนก็ย่อมได้บุญ และกำชับว่า ทำบุญกับคนทุศีล หามีอานิสงค์มากไม่
สัปปุริสทานสูตร ทานที่คนดี(สัตบุรุษ)เป็นผู้ให้ เน้นย้ำที่ตรงนี้ว่า ไม่ใช่ใครๆให้แล้วก็จะได้อานิสงค์ดังกล่าว แต่ต้องประพฤติตนเป็นสัตบุรุษด้วย ให้แล้วจึงจะได้ผลดังนี้ 1.ทานที่ให้ด้วยศรัทธาเชื่อทานและผลแห่งทาน ก็จะทำให้มั่งคั่ง ร่ำรวย และมีรูปงาม ผิวงาม น่าเลื่อมใส 2.ให้โดยเคารพ ทำให้ร่ำรวยและคนในครอบครัว คนงาน บริวารเชื่อฟัง 3.ให้โดยกาลอันเหมาะควร ทำให้ร่ำรวยมั่งมี ทรัพย์สินทันใช้สอย และมาตั้งแต่ต้น หรือตั้งแต่เด็กๆ 4.ให้ด้วยจิตไม่เสียดาย คือสละขาดเลย ทำให้มั่งคั่ง ร่ำรวย และพอใจใช้ของดีๆ 5.ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ทำให้ร่ำรวยและทรัพย์นั้นปลอดภัยจากอัคคีภัย อุทกภัย พระราชา โจร หรือการแย่งชิงของผู้อื่น หรือทายาท
ทานสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงทาน๗อย่าง 1.ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปจะได้เสวยผลทานนี้ ตายแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 1 2.คิดว่า ทานเป็นการทำดี ตายแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 2 3.คิดว่าเป็นประเพณี ทำตามปู่ย่าตายาย ตายแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 3 4.คิดว่าเราทำมาหากินได้ นักบวชหุงหาไม่ได้ จึงให้ทาน ตายแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 4 5.คิดทำตามฤาษีสมัยก่อนที่เป็นผู้จำแนกแจกทาน ตายแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 5 6.คิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใสเกิดความปลื้มใจและโสมนัส ตายแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 6 7.ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในพรหมโลก (ชั้นสุทธาวาส) ภายหลังย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง (อรรถกถาอธิบายว่า เขาไม่อาจไปเกิดในพรหมโลกด้วยทาน แต่ด้วยจิตอันประดับด้วยทานนั้น เขาทำฌานและอริยมรรคให้บังเกิด ย่อมเกิดในพรหมโลกด้วยฌาน)
สัปปุริสสูตร สัปบุรุษย่อมให้ของสะอาด ได้มาอย่างสุจริต ๑ ให้ของประณีต มีประโยชน์ ๑ ให้ตามกาล ๑ ให้ของสมควรแก่ผู้รับ ๑ เลือกให้ (แก่ผู้มีศีล มีคุณธรรม) ๑ ให้เนืองนิตย์ ๑ เมื่อให้จิตผ่องใส ๑ ให้แล้วดีใจ ๑ (แม้ให้มากก็ไม่เสียดาย) ทานเช่นนี้ย่อมเป็นที่สรรเสริญของผู้มีปัญญา และนำไปสู่โลกอันเป็นสุข
จูฬกัมมวิภังคสูตร ผลการไม่ให้ทาน ตายไปจะเข้าถึงทุคติ หรือเกิดเป็นคนยากจน ผลการให้ทาน ตายไปจะเข้า ถึงสุคติ หรือเกิดเป็นคนร่ำรวย
ให้ทานเอง ย่อมได้โภคสมบัติ ชวนคนอื่นทำด้วย ย่อมได้บริวารสมบัติ ทั้งสองสมบัตินี้ ถ้าไม่ทำเหตุไหน ก็ไม่ได้ผลนั้น เพราะบางคนก็ ให้ทานเองแต่ไม่ชวนใคร หรือ ชวนแต่คนอื่น ตนเองไม่ให้ทาน
ปายาสิราชัญญสูตร เล่าเปรียบเทียบบุคคลที่หนึ่งให้ทานแบบไม่มีความเห็นถูกต้องชอบธรรม (สัมมาทิษฐิ) ให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ทานด้วยมือ ตนเอง ให้โดยไม่นอบน้อม ให้แบบทิ้งๆขว้างๆ ตายแล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นที่ 1 มีเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า ส่วน ผู้จัดการที่เป็นลูกน้องทำหน้าที่ให้ทานในนามของคนแรกนั้น (แม้ทานจะเป็นของผู้อื่นก็ตาม) ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ ครั้นตายแล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ทารุกัมมิกสูตร
เล่าถึงการเป็นคฤหัสถ์ ผู้ครองเรือน ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือนกับบุตรภริยา ทัดทรงดอกไม้ ใช้ของหอม ยินดีทองและเงิน ทำให้รู้ได้ยากว่า ใครเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว ไม่เห่อ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง สำรวมอินทรีย์ สมควรที่จะสรรเสริญ และทำทานแก่ผู้นั้น พระพุทธเจ้าจึงแนะนำให้ทำสังฆทาน คือให้ทานแบบไม่เจาะจงผู้รับ ให้แก่ สังฆะ คือ หมู่สงฆ์ทั้งหลาย เมื่อท่านให้สังฆทานอยู่ จิตจะเลื่อมใส(ไม่มานั่งลังเลว่า คนที่รับทานจำเพาะเจาะจงที่เราเล็งว่าต้องเป็นพระอรหันต์แน่ๆ คนดีๆแน่ๆ เป็นจริงไหม) เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
คนในสมัยนี้ เข้าใจผิด และทำผิดในข้อสังฆทานนี้มาก เพราะทำสังฆทานก็จริง แต่ถวายแบบจำเพาะระบุจะต้องผู้นี้รับเท่านั้น
โดยใจความสรุปก็คือ การให้ทานทำให้มีกินมีใช้ มีเพื่อนฝูง มีฐานะมั่งคั่งรำ่รวยขึ้น ฯลฯ บางคนทำทานไว้ชาติที่แล้วมาก เกิดมาชาตินี้ก็เป็นคนมั่งมี ทั้งๆที่ไม่ได้ทำงานหาเงินอะไรเหนื่อยยากมาก แต่ผมไม่อยากให้ไปมองชาติที่แล้ว อยากให้มองที่ชาตินี้ว่า คุณทำทาน คุณได้แน่นอน ในชาตินี้ ได้ความเป็นที่รัก ได้เพื่อนฝูง ได้คนช่วยเหลือ เป็นการมอบความห่วงใยให้กันและกัน แค่นี้ก็ทำให้สิ่งร้ายๆในดวงดีได้ตั้งเยอะแล้วนะครับ ต่อให้จะว่า ทำทานไปตามหมอดูก็เถอะ ก็ยังได้อานิสงค์จากที่ทำอยู่ดี เพียงแต่คุณภาพมันน้อยกว่าคนที่ทำทานเพื่อมุ่งเสียสละแค่นั้นเอง
ผมจึงเห็นด้วยที่หมอดูแนะนำเรื่องการทำทาน การปล่อยสัตว์ ว่ามีอานิสงค์จริง ให้ผลจริง และจริงต่อหน้าต่อตานี่หละ
ไม่เชื่อลองหาขนมเอาไปมอบให้เพื่อน หาเครื่องประดับสวยๆสักอันให้คู่รัก อย่างน้อยที่สุดจะได้รอยยิ้มและคำขอบคุณกลับมาทันทีทันใด เพียงแต่ต้องรู้จักใช้สติปัญญาตรองดูว่า ทานกุศลที่เค้าให้ทำเพื่อเสริมดวง แก้ดวง สะเดาะห์เคราะห์นั้น มันถูกต้องตามศีลธรรมอันดีไหม เช่น เอาเหล้าไปถวายเทวดา สั่งซื้อ สั่งฆ่า ไก่ เป็ด หัวหมูไปบวงสรวง การถวายทานเหล่านี้เป็นวัตถุทานอันไม่บริสุทธิ์ เป็นอกุศลกรรมทั้งนั้น ถ้าอยากทำความเข้าใจเรื่องทานให้มากขึ้น เชิญอ่านหนังสือ โดยค้นหาคำว่า “วิธีสร้างบุญบารมี ฉบับควรอ่าน“ ผมไม่ใช่ผู้แต่ง แต่ผมทำการรวบรวมเนื้อความที่คิดว่า ผู้อ่านคงเข้าใจได้ จากหนังสือสองเล่ม
ทาน ยังไม่ใช้เครื่องยืนยันว่าจะมีความสุข ความเจริญ เพราะทานที่ทำแบบไม่รักษาศีล ก็ยังจะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนใจเนืองๆ
การให้ทานเปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ ที่สักวันย่อมให้ผลแน่ๆ แต่ถ้าผู้ปลูกไม่มีเครื่องคุ้มครองรักษาตนเองให้ปลอดภัย ด้วยศีล ต่อให้ทานนั้นให้ผล ก็รับวิบากด้วยความทุกข์ก็มี อย่างที่คนสมัยนี้เรียกว่ ทุกขลาภ คือมีลาภแทนที่จะสุขกลับมีความทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
1.ผู้ใดมีศีล ได้สิ่งของมาโดยชอบธรรม มีใจเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานแก่ คนทุศีล (คนไม่มีศีล) ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายผู้ให้ 2.ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานแก่ คนมีศีล ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายผู้รับ 3.ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานแก่ คนทุศีล พระพุทธเจ้าไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า มีผลไพบูลย์ ฯ 4.ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในผู้ปราศจากราคะ ทานของผู้นั้นนั่นแล เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย
สรุปสิ่งที่จะทำให้การให้ทาน มีคุณภาพมากยิ่งๆขึ้น คือ ผู้ให้เป็นผู้มีศีล และปัญญา ส่วนผู้รับก็เป็นผู้มีศีล และปัญญา นอกจากพิจารณาผู้รับทานแล้ว ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญมากในอานิสงค์ของการทำทานนั้น หากตัวเราเองไม่มีศีลแล้ว ทานที่เราให้เราทำมากมาย ก็มีอานิสงค์น้อยกว่าที่ผู้มีศีล มีปัญญา ปราศจากราคะให้
ผมก็ขอเป็นกำลังใจแก่ทุกคน ที่ผมได้นำมาอธิบายวันนี้เพื่อเป็นแผนที่ให้ท่านได้เห็นทางก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่หยุดตรงที่สักแต่ว่าได้ทำแล้ว ช่วยแล้ว ให้ทานแล้ว ลองอ่านและคิดใคร่ครวญดูว่า ยังมีอะไรที่บกพร่อง ยังมีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำอีก เป็นคนชอบให้ทานแล้ว องค์ประกอบ วัตถุที่ให้ คนที่รับ และตัวเองซึ่งเป็นผู้ให้ดีพอหรือยัง ชักชวนคนอื่นบ้างหรือไม่ พัฒนาตนเองในศีล สมาธิ ปัญญา บ้างหรือไม่
คำพูดหมอดู เรื่องปล่อยสัตว์ ให้ทาน เหล่านี้ ถ้าถือเป็นประตูบานแรกเปิดให้คนที่ประมาทต่อการให้ทานได้เห็นคุณค่า ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ปรากฎการณ์หมอดูนี้ ผมเคยคุยกับพระบางรูปได้ความว่า คนเชื่อถือมากๆ เชื่อยิ่งกว่าพระ พอหมอดูบอกให้ถวายอันนั้นอันนี้ ก็มีคนเอามาถวายมากมายจริงๆ เช่น ถวายยา ซึ่งในสังฑทานยาหลายอันก็ทานไม่ได้ ถวายพระพุทธรูป จนกองเต็มวัด ถวายน้ำตาลทราย เพื่อให้ความรักหวานหอม แต่ก็ไม่ใช่ของดีต่อสุขภาพพระ และเป็นเพียงเครื่องปรุง การจะให้ทานตามหมอดูตอนต้นที่บอกให้แยกแยะ ก็ควรเอามาแยกแยะว่า ให้ทานนั้นๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้ให้หรือไม่ ด้วยเป็นสำคัญ
โหราศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องงมงายไปเสียทุกเรื่อง และผมพูดบ่อยๆแล้วว่า พระธรรมคำสอนนี้เป็นโอสถประเสริฐสุดที่จะแก้สรรพทุกข์ หรือทำให้ชะตาชีวิตดีขึ้นได้หากรู้จักให้ลึกซึ้ง และใช้ให้ถูกต้องกับทุกข์ที่ตนเองกำลังเจอ เรื่องการทำทานนี้ ถือเป็นยาแก้ทุกข์พื้นฐานของคนทำมาหากินที่ยังไม่ได้โกนหัวออกบวช คือ ทุกข์ในเงินทอง ลาภยศ ต้องรับผิดชอบเลี้ยงปากท้อง และมีการเข้าสังคม การทำทาน ช่วยให้ส่ิงที่ว่ามาเหล่านี้ หากมีเคราะห์ ก็สะเดาะห์เบาลงได้ มีโชคมีลาภ มีคนรักใคร่ช่วยเหลือ มั่งมี แต่จะมีความสุขไม่เป็นทุกขลาภได้ก็ต่อเมื่อ เจริญปัญญา และรักษาศีล ผมจึงมักเน้นย้ำที่ ศีล และปัญญา จนบ่อยครั้งลืมบอกให้คนทำทาน เพราะคิดว่า เขาคงทำของเขาอยู่บ้างแล้ว บทความนี้ทั้งเตือนตนเอง และบอกกล่าวแก่ทุกๆท่าน ตราบใดที่ยังทำมาหากิน ยังต้องเจอปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ ขออย่าได้ละเลยการทำทาน ให้ทานนี้แหละทำให้การเงินดีขึ้นได้ ไม่ใช่ใช้ธรรมะแบบผิดๆ เอะอะก็ไปนุ่งขาวหุ่มขาว หรือไปฟังธรรม ไปไหว้พระสวดมนต์ แล้วบอกว่าทำไมไม่รวยขึ้น ก็บอกแล้วว่า ธรรมะข้อใดก็ให้ผลข้อนั้น เช่นเดียวกัน ถ้าสักแต่ว่าให้ทานโดยไม่รู้จักหน้าที่ ไม่ทำมาหากิน ทรัพย์สินที่ได้ก็เสื่อมไป
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ไว้ว่า
ต้องรู้จักหาทรัพย์
รักษาทรัพย์
ใช้ทรัพย์เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว
เก็บออมเผื่อเจ็บป่วย หรือภัยต่างๆ
ทำการสงเคราะห์ญาติ แขก อุทิศให้ผู้ล่วงลับ ช่วยเหลือราชการ เสียภาษี
ทำบุญอุทิศให้เทวดา และทำบุญกับผู้มีศีลมีธรรม
ไม่กู้หนี้ยืมสิน
ทำงานไม่มีโทษ(ไม่ผิดศีลธรรม)
ทำครบหมด 8 อย่าง แล้วถึงจะรับประกันความสุข ความเจริญได้ ไม่ใช่ว่า ลำพังสักแต่ว่า ทำทาน ถวายทานแก้ดวงเฉพาะเรื่องนี้ๆแล้ว หรือสักแต่ว่าตั้งใจทำมาหากินดีๆแล้ว ก็พอแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจครับ
ชีวิตยากที่จะได้เกิดมา แต่ชีวิตนี้ก็น้อยนักไม่นานก็ต้องตาย การทำคุณภาพในชีวิต จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะทำแบบลวกๆ เอาง่ายๆ เอาตามใจว่า แค่นี้พอละ ไม่ได้หรอกครับ ชีวิตไม่ใช่ความง่าย เพราะถ้ามันง่ายเราคงเข้าใจชีวิต และมีความสุขในมันตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว แต่เพราะมันยาก จึงควรทำชีวิตให้ “เรียบง่าย” ที่สุด จะได้จัดการมันอย่าง ง่าย และเบา ที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ก็คือ ชีวิต
การดูแลชีวิตอย่างปราณีต
อย่างมีความรู้ว่า ต้องทำอะไรบ้าง
จึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ
เวลาชีวิต ไม่ได้มีมากไปถึงแก่
ทุกคนหรอกครับ ทำให้ดี ทำให้ดี นะ
Comments