เรียบเรียงโดย 羅先生 (ซินแซหลัว)
ภาพม้ามงคล หรือ ภาพม้าวิ่ง จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีชื่อเรียกเฉพาะภาษาจีนเป็นหลักฐานปรากฎตายตัวว่าชื่ออะไรแน่ คนจีนมักเรียกว่า 八馬俊圖 หรือ 骏马图 หรือ八骏图 ตามที่นิยมวาดเป็น ภาพม้าแปดตัว
ภาพม้า8ตัว ที่ปรากฎในท้องตลาดทั่วไป
八馬俊圖 อ่านว่า ปาหม่าจวิ้นถู แปลว่า ภาพม้าชั้นยอดทั้งแปด ภาพแปดยอดอาชา
骏马图 อ่านว่า จวิ้นหม่าถู จะสังเกตว่าคำว่า จวิ้นของวลีบนกับล่างนี้ไม่เหมือนกัน เพราะจวิ้นคำนี้ใช้กับม้าโดยเฉพาะ แปลว่ายอดแห่งม้า หรือม้าดี วลีนี้จึงแปลว่า ภาพยอดอาชา
八骏图 อ่านว่า ปาจวิ้นถู แปลว่า ภาพมงคลยอดแห่งอาชาทั้งแปด
สิ่งที่น่าสังเกตคือไม่ค่อยพบภาพวาดเช่นนี้ตามพิพิธภัณฑ์หรือบ้านเก่าจีนโบราณเสียเท่าไหร่ แปลว่า สมัยก่อนไม่ได้เป็นที่นิยมมากเท่ากับสมัยนี้ เพราะคนสมัยก่อนเน้นการอวยพรด้วยภาพมงคลที่หลากหลาย และมักเน้นไปทางความสุข อายุยืน ต่างจากคนสมัยนี้ที่เน้นทางธุรกิจ เงินทอง ร่ำรวยเป็นหลัก ภาพม้ามงคล นี้เลยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการซื้อหาไปประดับบ้าน ทำให้คนจีนทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ประติมากรรม หรือจิตรกรรมทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ภาพเขียนเสมือนจริงแบบฝรั่ง ภาพม้าที่วาดด้วยพู่กันจีน ฯ
ท่านสวีเปยหง (徐悲鴻) จิตรกรเอกของจีนท่านหนึ่งในยุคจีนใหม่หลังราชวงศ์
ถ้าจะให้เล่าเรื่องมันยาวมากและซับซ้อนซ่อนเงื่อนครับ คือผมคิดว่าผู้ปลุกภาพม้าให้เป็นที่นิยมขึ้นมานี้ เป็นใครหาทราบได้ไม่ แต่จิตรกรเอกอุของจีนที่เลื่องชื่อทางการวาดม้า จนผลงานของท่านได้รับการนำมาปลุกนี้ชื่อว่า ท่านสวีเปยหง (徐悲鴻) ที่ว่าซับซ้อนก็เพราะว่า ภาพม้า8ตัว ทางจีนเองก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน แต่หลักฐานยืนยันแน่ชัดที่สุดคือท่าน สวีเปยหง ไม่เคยวาดม้า แปดตัวแต่อย่างใด จะวาดไว้มากสุดก็แค่ หกตัวเท่านั้น การที่มีภาพม้าแปดตัวและหลายแหล่งอ้างว่าเป็นฝีมือจิตรกรเอกท่านนี้ก็เข้าใจว่า ต้องการเอาความไฮโซของชื่อจิตรกรมาผนวกกับเลข 8 ในทางมงคลฮวงจุ้ย จึงออกมาเป็นภาพเลียนแบบภาพม้า 6 ตัว (六駿圖) ของสวีเปยหง โดยวาดเพิ่มอีก สองตัว ปะปนกันลงไปเป็นแปดตัว แล้วบอกว่า ท่านสวีเป็นคนวาดพร้อมลงลายเซ็นไว้
ภาพลิ่วจวิ้นถู หรือม้าหกตัว วาดโดยสวีเปยหง ของแท้
เพราะสไตล์การวาดม้าที่ทรงพลังดุจมีชีวิต และหางม้าทำด้วยการตวัดไกวพู่กันจีนเป็นพู่กระจายแบบนี้ เป็นเอกลักษร์ของสวีเปยหง ให้ท่านลองนึกถึงผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ที่ไม่ว่าจะวาดภาพอะไร ใครๆมองก็รู้ทันทีว่า อ๋อนี้คือภาพอาจารย์ถวัลย์ ลักษณะภาพวาดของสองท่านนี้ คล้ายๆกัน ด้วยชอบวาดภาพสัตว์ป่า ให้ออกมาทรงพลังมีชีวิต
เปินหม่าถู 奔馬圖 ภาพอาชาผยอง เป็นอีกภาพที่มีชื่อเสียงของท่านสวีเปยหง
徐骥 สวีจี้ คือผู้ตามล่าหาความจริงใน ภาพวาดม้าแปดตัว -ปาจวิ้นถู 八骏图 ว่าแท้จริงเป็นฝีมือท่านสวีเปยหงหรือไม่ ก็ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ท่านสวีฯ เคยวาดภาพม้าขนาดใหญ่อาจจะมีหลายตัวให้กับนายพลฯ ท่านหนึ่งของสหรัฐอเมริกา นามว่า Claire Lee Chennault แต่ไม่มีใครเคยเห็นว่าเป็นภาพม้ากี่ตัว และมีลักษณะเป็นอย่างไร ในบันทึกและที่เก็บผลงานของท่านสวี ก็ไม่ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับภาพม้าแปดตัวนี้ ผู้ตามล่าหาความจริงจึงได้ออกตามหาไปถึงอเมริกา เข้าพบภริยาของท่านนายพลฯ ก็ได้ทราบความว่า ได้บริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะของอเมริกาไปแล้ว และภาพนั้นหาใช่ภาพวาดม้าแปดตัวไม่ แต่เป็นภาพ เปินหม่าถู ภาพอาชาผยองแทน (ตามภาพด้านบน) และก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวเรื่องเกี่ยวกับ ภาพม้าแปดตัว จนถึงราวๆเดือนมีนาคม 2561 ภริยาท่านนายพลก็ได้ถึงแก่กรรมไป ความจริงเกี่ยวกับ ภาพม้าแปดตัว ว่าเป็นภาพของท่านสวีฯ หรือไม่จึงสะดุดหยุดลงและจบตรงเท่าที่หาข้อเท็จจริงได้ว่า ไม่มีภาพ 八骏图 – ปาจวิ้นถู ภาพม้าแปดตัว มีแต่เพียงภาพ 六骏图 – ลิ่วจวิ้นถู เป็นภาพวาดม้าขนาดใหญ่ที่สุดแล้วของท่านสวีฯ
ขอบอกเลยว่าความจริงที่ผมนำมาเล่านี้ คนจีนหลายคนก็ยังไม่ทราบ น้อยคนมากที่จะทราบเกี่ยวกับภาพม้า 8 ตัวว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และน้อยลงไปอีกที่จะทราบว่า ไปอิงเอาผลงานของท่าน สวีฯ มาวาด และน้อยมากๆที่จะทราบว่า จริงๆท่านสวีฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับภาพม้า 8 ตัวตามที่นิยมกัน ถ้าจะเล่าให้เรื่องมันสั้นๆย่อๆแบบสรุปก็คือ จิตรกรสมัยใหม่ท่านสวีฯ เป็นคนโด่งดังของแผ่นดินจีนมีชื่อเสียงด้านการวาดม้า ภาพวาดงดงามมีพลังจนคนอยากได้ไปประดับบ้านช่องก็พากัน ถ่ายสำเนาบ้าง คัดลอกบ้าง ถ่ายภาพบ้าง วาดภาพเลียนบ้าง จากนั้นก็ผสานกับความเชื่อเรื่อง ม้า ที่เป็นมงคลตามความเชื่อคนจีนโบราณ ผนวกกับความเชื่อฮวงจุ้ยแบบสมัยใหม่จากดินแดนฮ่องกง เรื่องเลข 8 อย่างเช่นที่เราจะเห็น ปลาคาร์ฟ 8 ตัว คลุกเคล้ารวมกันก็กลายเป็น ภาพยอดนิยมทางมงคล ภาพม้ามงคล8ตัว นี้ขึ้นมา
ม้าเป็นสัตว์มงคลตามความเชื่อของจีน
ม้า หรือ 馬 ถ้าจะพูดให้ดูไฮโซโก้เก๋สักหน่อยก็เรียก อาชา หรือ อาชาไนย เป็นสัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับคน ซึ่งมีความแสนรู้ ฉลาด และที่สำคัญนับได้ว่าพละกำลังเยอะ ว่องไวที่สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยงของคนเรา ทั้งยังมีความองอาจเพราะคนไทยเรารบกันบนหลังม้า สร้างบ้านสร้างเมืองมาได้ คนจีนก็มองม้าเหมือนช้างของไทย คือสัตว์พาหนะในการออกรบของขุนศึกผู้กล้าทั้งหลาย เราได้ยินเรื่องม้าสีหมอกของขุนแผน คนจีนก็คุ้นเคยกับม้าสำคัญสองตัวคือ ม้ามังกรขาว 白龍馬 ของพระถังซัมจั๋ง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมาจนกระทั่งมีการสร้างวัดให้ชื่อว่า วัดม้าขาว และม้าเซ็กเทา 赤兔馬 ของล้ำค่าที่ตกทอดมาตั้งแต่ ตั๋งโต๊ะ ลิโป้ โจโฉ จนถึงกวนอู อยากจะบอกว่า ชื่อม้าน่ารักมากนะ เพราะเซ็กเทา แปลเป็นไทยว่า ม้ากระต่ายแดงชาด ทั้งหมดผมอยากจะอธิบายความว่า ม้าก็เลยเป็นสิ่งอวยพรคนหนะครับ คือหมายความว่า เวลาเราให้ภาพม้าใคร หรือเราเอาภาพม้ามาประดับบ้านก็เหมือนเรายกย่องคนนั้นว่า คู่ควรแก่ม้า แล้วสมัยโบราณจีนใครหละที่คู่ควรแก่ม้า ก็เช่น นักรบ ขุนพล ถ้าเก่งๆฮ่องเต้มอบม้าเป็นรางวัลให้นี่ถือว่าเกียรติยศพอๆกับได้รับตราตั้ง เผลอๆยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะจะหมายถึงคุณเป็นขุนศึกคนสำคัญของฉันนะ ตำแหน่งตั้งใหม่ได้นี่ แต่ม้าดีๆ มันหาไม่ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ก็รวมถึงขุนนางชั้นสูง ตลอดจนผู้มีบุญที่ต้องรับภารกิจสำคัญ เช่นพระถังซัมจั๋งนี้เอง ม้าเลยเป็นของมงคลที่แปลกที่คนชอบไปอธิบายความมงคลที่ตัวม้า ว่า ปราดเปรียว ว่องไว เก่งกล้า แสนรู้ มีพละกำลังมาก แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้ว มันเหมือนเรายกยอคนเค้ากลายๆว่า ท่านช่างคู่ควรกับม้า หรือ ภาพม้ามงคลนี้ ย่ิงนักต่างหาก ถ้าส่วนตัวความคิดผม ภาพม้าจึงเหมาะกับการที่ผู้ใหญ่จะมอบให้ผู้น้อย มากกว่าผู้น้อยเอาไปให้ผู้ใหญ่ เพราะตามประวัติศาสตร์จีน ม้าดีจะถูกคนนำถวายให้ฮ่องเต้ก็จริงอยู่ พอๆกับช้างเผือกไทย แต่การให้คุณความดีรางวัลตอบแทนนั้น เจ้านายให้ลูกน้อง ฮ่องเต้ให้ขุนพล เสียมากกว่า ผมเลยมักบอกเสมอว่าวัฒนธรรมจีนเป็นอะไรที่ยาก ปนสนุก เพราะมันวัดภูมิปัญญาของคนแบบสุดๆ กะแค่คุณเอาภาพม้า ม้าสีอะไร ม้ากี่ตัว มอบให้กับใคร แค่นี้มันวัดได้ถึงภูมิรู้คุณเลยว่า รู้เรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนมากน้อยแค่ไหน หรือบางคนก็อาจจะบอกว่า ซินแสรู้มากไป เลยคิดมากไป แต่เหตุบังเอิญไม่มีในโลก ประวัติศาสตร์จีน ตำนานหลายเรื่องทำนายบุคคล ทายทักเหตุการณ์สำคัญ จากอักษรบ้าง ภาพวาดปริศนาบ้าง การเสี่ยงทายอี้จิงนั้นหละ
ม้า มงคลในทาง วัฒนธรรมจีน
คิดว่าอ่านกันมาได้ถึงตอนนี้คงจะตาลายกันไปบ้าง ของแสดงความห่วงใยต่อแสงหน้าจอของท่านด้วยการบอกว่า พักสายตาบ้างเสียเถิดหนาคนดี แต่ห้ามมาหลับลงตรงนี้นะ เพราะกำลังจะเล่าต่อโดยขอยกสำนวนที่คนมักเอามาประกอบความเป็นมงคลของม้า ดังนี้คือ
馬到成功 หม่าเต้าเฉิงกง แปลว่า สำเร็จประสิทธิผลโดยพลันทันใจ ชัดไหม ชัดเจนนะ สำนวนนี้หละชอบเอามาประกอบภาพม้าที่สุด เพื่อไปอวยพรแบบคนสมัยใหม่ใจร้อนว่า ขอให้คุณเปิดร้านหรือทำกิจการใดๆก็สำเร็จโดยพลัน รวดเร็ว ปราดเปรียวนะ
馬上封侯 หม่าซ่างเฟิงโหว แปลว่า ป๊อกเดียวก็ได้นั่งแท่น พูดเล่น แปลดีๆก็คือ ได้เป็นขุนนางหรือผู้มีเกียรติยศยิ่งโดยพลัน หม่าซ่างๆ คำๆนี้ก็แปลว่า เร็วดุจขึ้นควบม้า หรืออยู่บนหลังม้านั้นหละ
一馬當先 อี้หม่าตังเซียน แปลว่า ข้าคือหนึ่งในตองอู หมายความว่าเป็นหนึ่งและมาถึงก่อน
萬馬奔騰 ว่านหม่าเปินเถิง อันนี้ก็ยอดนิยมรองมาจาก หม่าเต้าเฉิงกง คำแรกในการเอามาประดับอวยพรภาพม้า แสดงถึงความเกรียงไกรว่า ม้านับหมื่นกำลังคึกผยองพร้อมสู้รบ หรือพร้อมออกเดินทางครั้งใหญ่ บารมีเลิศฟ้ามหาสมุทร ราวๆนั้น
老馬識途 เหลาหม่าซื่อถู สำหรับผม ผมชอบอันนี้มากที่สุดต่อให้มันจะบรรยายว่า ม้าแก่ย่อมชำนาญทาง แต่มันเป็นความหมายเชิงบุ๋น ที่ดีที่สุดของม้า เพราะอันอื่นออกแนวระห่ำหาญกล้า แต่อันนี้ออกแนวสติปัญญาสุขุม เป็นคำที่ปรากฎใน ตำราหานเฟยจื่อ กุนซือคนสำคัญที่จิ๋นซีเอามาเป็นแบบอย่าง จนเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้มาได้นั่นหละ พรรณาว่า ถ้าคุณจะไปไหน หรือจะออกทัพอะไรหากว่าไม่ชำนาญทาง ก็ให้ไว้ในม้าแก่ๆที่ชำนาญทางมานานเถอะ รับรองไม่มีหลง มันแสดงทั้งความซื่อสัตย์ภักดีของม้าที่คู่ควรกับนายดีและแสดงความช่างสังเกตธรรมชาติของนักปราชญ์โบราณที่ตอบปัญหาคนว่า เอ้า ก็หาม้าชำนาญทางสักตัวสิ
馬不停蹄 หม่าปู้ถิงถี แปลว่า ม้าไม่หยุดย่อต่อการออกเดินทาง คือขึ้นหลังแล้วก็ไปไกล ไปกว้าง ไปไหน ไปกันหละ
馬首是瞻 หมาโส่วซื่อจาน แปลว่า การออกสำรวจให้หูตากว้างไกล ควบม้าลาดตระเวนให้มีวิสัยทัศน์กว้างๆไว้นะ
馬革裹屍 อันสุดท้ายนี้บางคนอาจจะบอกว่า มงคลตรงไหนซินแส พูดถึงเรื่องตายๆ อะไรก็ไม่รู้ เพราะมันคือสำนวนว่า หม่าเก๋อกั่วซือ แปลว่า ฝังร่างท่านคู่เคียงกับม้าคู่ใจ ถ้าเราศึกษาวิธีคิดคนจีนในปรัชญาให้ดี เราจะพบว่านอกจากท่านจะสนใจเรื่องมงคลตอนเป็นแล้ว ยังสนใจเรื่องชื่อเสียงตอนตาย ลูกหลาน และการได้ตายดีสมเกียรติด้วย ตรงนี้หละเป็นสำนวนเด่นเกี่ยวกับม้าที่เอามายกย่อง ความกล้าหาญดีงาม แต่ใครคงไม่จู่ๆเอาไปอวยพรให้ใคร หรอกนะ
ม้า มงคลในทาง โหราศาสตร์จีน ฮวงจุ้ย
หัวข้อสำคัญที่ผมเชื่อว่าท่านตามอ่านก็คงจะหนีไม่พ้นหัวข้อนี้หละนะ เอาหละ ขอเริ่มต้นที่ว่า เรามีคำเรียก มะเมีย หรือม้า เป็นคำเฉพาะในทาง โหราศาสตร์จีน ว่า เบ๊ … ไม่ใช่แล้ว อันนั้นมันภาษาจีนแต๊จิ๋ว ซินแสทั้งหลายเรียก มะเมียม้า ว่า โง่ว หรือ อู่ อ่านต่างกันตามสำเนียงจีนแต่เขียนเหมือนกันคือ 午 เป็นธาตุไฟหยิน สถิตในห้วงเวลา 11.00 เรื่อยไปถึงก่อนบ่ายโมง สถิตประจำเดือน มิถุนายน กลางหน้าร้อน ถ้าพูดแล้วจบแค่นี้ก็ไม่ใช่ ซินแสหลัว ครับ เพราะมันจะมีคำถามต่อว่า ไฟหยินแล้วไง เวลาเท่านั้นเท่านี้ แล้วไง
มาดูความสำคัญของ อู่ 午 ถือเป็นธาตุไฟแรงจัดจ้านสุดในย่าน 12 นักษัตรนับแต่ชวดเรื่อยไปถึงกุน ธาตุไฟสำคัญทั้งต่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ การพัฒนาเจริญก้าวหน้า เช่น ดอกไม้จะบานก็ด้วยธาตุไฟ ผลไม้จะสุกก็ด้วยธาตุไฟ คนจะเปลี่ยนวัยขึ้นสู่วัยรุ่นวัยทำงานก็ด้วยธาตุไฟ จะตายก็ด้วยธาตุไฟ กินอาหารให้ย่อยเพื่อแปลงวัตถุธาตุใส่ปากไปเป็นเลือด เนื้อ อวัยวะ ก็ด้วยธาตุไฟ ชะล้างเชื้อด้วยวิธีธรรมชาติร่างกายสั่งตัวเองให้ตัวร้อนเป็นไข้นี่ ก็ธาตุไฟ หูเปิดตาสว่าง ตื่นได้ตอนเช้า สมองทำงาน ก็ด้วยธาตุไฟ มีพละกำลังเคลื่อนไหว ร่างกายทำประโยชน์ได้ ทำงานได้ ก็ด้วยธาตุไฟ ทางแพทย์แผนไทยว่า ปริณามัคคี สันตัปปัคคี ปริทัยหัคคี ชิระณัคคี จะตายม้วยลงคืนสู่ธรรมชาติก็ด้วยธาตุไฟชิรณะ เผาให้เสื่อม ให้แก่ ให้ตาย ให้สลายไป ไฟจึงเป็นธาตุใหญ่สำคัญในกระบวนการที่เราเรียกว่า การเผาผลาญ ที่ไม่ใช่เพียงแต่ เผาให้มันไหม้ แต่หมายความตั้งแต่เริ่มอุ่นเครื่อง ไปจนกระทั่งครบวงรอบของธรรมชาติใหม่
จึงไม่แปลกที่ดวงชะตาใครปรากฎ 午 แล้วจะสำแดงเดชของความมีพลัง พบปะผู้คนมากมาย ขายของก็จะดูมีลูกค้าคึกคักมากกว่าใคร ตำราจีนปกติชอบบอกว่า ธาตุไฟแบบนี้คือ ปัญญา บ้างว่าความเริงร่า เปิดเผย หารู้ไม่ว่าด้านมืดของไฟพวกนี้ คือไฟหยินนี้ก็คือ เก็บกดและงูเหลือม หมายความว่า ไม่ค่อยจะมีหัวคิดผู้นำออกไปทำอะไรมากนะ และชอบเครียดง่าย เอะอะบ่นเครียด บ่นเหนื่อย อยากพัก แต่ไม่ยอมหยุดนะ เอาแต่บ่น และใครมาแนะนำมากก็ไม่ได้ ถ้าดวงมีมารยาทก็แค่ทำหูมึนๆไป ทำหน้าเหมือนจะฟังอยู่แต่ถ้าดวงไร้มารยาทหรือกับคนคุ้นเคยจะเอามือกุมหัว ปิดหน้า ว่าเธอมาทำฉันเครียดทำไมเนี่ยะ ขนาดนั้นเลย มันคือไฟที่แรงและเก็บกด เพราะอยู่ใกล้กับ ดิน ธาตุต่อไปของมะเมีย คือ มะแม เป็นธาตุดิน ถ้าท่านมีเชาวน์ท่านอ่านถึงตรงนี้ท่านจะร้องอ๋อทันทีว่า ที่ไฟมะเมียตำราว่าเริงร่าเปิดเผย ก็เพราะมันร้อนและเก็บกด เลยหาทางระบาย ที่บอกว่ามีลูกค้าเยอะ ดูพบปะผู้คนเยอะก็เพราะอยู่เฉยๆคิดเองวางแผนเจ้าเล่ห์เองไม่ค่อยได้ ต้องไปหาที่ปรึกษา หรือฟังมาก ดูมาก พออ่านได้ตรงนี้ก็ต้องมาดูตามผังดวงชะตาว่า เอ๋ คนมะเมียที่ท่านเจออยู่มีลู่ทางทำเช่นนั้นได้ด้วยไหม ดวงจีน ลึกซึ้งแบบนี้ครับ ไม่ใช่เอะอะ ใครเกิดแล้วมีมะเมียอยู่ ทำนายนิสัยเค้าไปเลยแบบปนๆรวมๆกันไป ตามที่ตำราเขียนลักษณะเด่นไว้ว่า
1.รับสิ่งใหม่ยาก 2.มีจรรยามารยาทงาม (จริงๆมันทำเพราะเก็บกด ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีเรียบร้อย) 3.มีความพยายามแรงสูง ยอมอดตอนต้นเพื่อหวานตอนปลาย 4.มีสัมผัสที่หกแรง บางทีหยั่งรู้นิสัยใจคอคน 5.เริงร่า เปิดเผย น่ารักกับคนภายนอก 6.มีเพื่อนและคนรู้จักมาก แต่คนรู้ใจคบได้ แทบไม่มีเลย 7.มักมีหน้าตา รูปร่าง สวยหล่อ บ้ายอชอบให้คนชม ฯลฯ เด่นๆที่ผมคัดมาให้มีราวๆนี้ ท่านก็ลองคิดเปรียบเทียบกับม้าดู ว่ามันใช่หรือเปล่า
สำคัญที่สุด ใครอย่ามาบอกว่า ไฟหยิน คือ ไฟตะเกียง ไฟเทียนไข กับผมอีกนะ อย่าไปแปลคำว่า 陰หยิน ว่าต้องเล็ก ต้องมืดๆ สลัวๆ แต่อย่างเดียว ไฟหยินของบางคนนี่มันคือ พระราหู คนที่เรียนดวงไทยมาคงทราบ มันหมายถึงสิ่งที่มีพลังด้านมืดๆกลืนได้แม้นกระทั่งแสงพระอาทิตย์ เป็นความผกผันแรงสูงภายใต้พลังงานที่มหาศาล มันเลยคู่ตรงข้ามกับชวด ดวงจีนมีนักษัตรเหมือนราหูอยู่สองตัวก็ ชวด กับ มะเมียม้า นี่หละ ตัวนึงอมพระอาทิตย์ อีกตัวอมพระจันทร์ ลองไปคิดใคร่ครวญต่อนะครับ ว่าตัวไหน อมอะไร บทความทั้งหมดผมมุ่งหวังเขียนเพื่อให้ไปคิดต่อยอด ไม่ใช่เล่าเอิงเอยไปเรื่อยๆ และไม่ใช่ให้ท่านกดลาก ก้อปปี้ เพส ละจบด้วยนะ การจะแปลยินหยางห้าธาตุ ผมมักย้ำเสมอว่า ต้องดูคู่ตรงข้ามและบริบทที่เรากำลังเผชิญ ดวงอาทิตย์อาจเป็นหยางเมื่ออยู่บนฟ้าเทียบกับพระจันทร์ แต่ถ้าแงะดูจะพบว่า ดวงอาทิตย์ใช้ความเป็นหยินสูงมากในการที่จะกุมเอาความแรง ความร้อน ของเปลวสุริยะเอาไว้กับตัวเองด้วย นึกถึงกว้า/ข่วย ลี้ 離卦 ถ้าใครเคยเรียนปากว้ามาพื้นฐานบ้างนะครับ เป็นกว้าที่ ฟ้าและดินเป็นหยาง มีขีดตรงกลางคือมนุษยโลกเป็นหยินคอยเชื่อมหล่อเลี้ยงเอาไว้ กว้าที่แทนค่าด้วยไฟ ของจีนกลับไม่ได้มีความเป็นหยางเสียทั้งหมด
มีอีกตัวสำคัญในโหราศาสตร์จีนและฮวงจุ้ย ที่เมื่อท่านหาทิศทาง หรือ วันเวลา ดวงชะตา เมื่อเทียบกับตารางปีเกิดท่าน หรือ วันเกิดท่าน ว่า
ขาล/มะเมีย/จอ พบเจอวอก กุน/เถาะ/มะแม เจอกับมะเส็ง วอก/ชวด/มะโรง เจอขาล มะเส็ง/ระกา/ฉลู เจอกุน
เช่น ท่านเกิดปี ขาล แล้วในเดือนวอก(เดือนสิงหาคมราวๆ) หรือ ในทิศวอก(ทิศตะวันตกหน่อยๆ) เป็นต้นนะครับ จะได้ตัว เอี๊ยแบ๊ หรือ อี้หม่า 驛馬 หมายถึงความได้เดินทาง โกอินเตอร์ เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ก็เหมือนๆสำนวนที่ผมยกเอามาข้างต้นลองกลับย้อนไปอ่านดู เหมือนดวงท่านได้ม้าคู่ใจมา หรือได้ขี่ม้าออกไปในที่ไกลๆ แล้วแต่ว่า อี้หม่า ของท่านจะไปเชื่อมกับธาตุอะไร
เพราะฉะนั้น หากถามผมว่า ควรติดภาพม้า ม้ามงคล ม้าแปดตัว หรือจะกี่ตัวก็ตามตรงไหน ทิศอะไร
เอาแบบไม่คิดอะไรมากแต่ลึกซึ้งนะ อิงตามตำรานะ ไม่มั่วด้วยนะ คือต้องบอกก่อนเพราะมันอาจจะดูง่ายจนคุณว่า โห แค่นี้ก็ได้ละเรอะ อันนี้เอาแบบผมไม่รู้จักดวงชะตาคุณไม่เห็นฮวงจุ้ยอะไรในอาคารคุณเลย ติดทิศอี้หม่านี้หละ คือทิศเหมาะของม้า ชื่อเขาก็บอกให้แล้ว สรรพคุณของทิศมันก็ตรงตามม้า เช่นถ้าเกิดปีขาลแบบที่บอก ก็ ติด ภาพม้ามงคล นี้ในทางฮวงจุ้ยก็หาทิศ วอก เลย ใครไม่รู้จักทิศวอกก็อย่าไปเสิรช์ลวกๆว่า ทิศวอกทิศอะไร หรือพิมพ์มาถามผมแบบคนมักง่ายนะ เพราะจริงๆมันแสดงได้ว่า ภูมิรู้ฮวงจุ้ยคุณเป็นศูนย์ งั้นคุณควรไปหาคนพอมีพื้นฐานบ้างมาช่วย สมัยนี้ชอบพึ่งพาตนเองกันแบบมึนๆ คือไม่เอาความรู้ว่า เอาความเกรงใจกับความขี้เกียจยุ่งยาก คลุกๆกัน เสริชเอา จบละ ไม่ก็ถามซินแสเอา เขียนดีนักนี่ โพสถามเลย ขอร้องเถิด ผมอยากให้คุณมีความรู้ติดตัวบ้าง ไม่ใช่มุ่งจะเอาแต่ทิศไปติดภาพแล้วจบแค่เท่านั้น ถ้าฮวงจุ้ยดวงจีนมันสุกไวกว่าไส้กรอกกดไมโครเวฟนะ จะเรียนกันไปทำไมครับงั้น จะถูกยกย่องมานับพันๆปีเหรอว่าเป็นวิชาปราชญ์ และก็ขออย่าได้กังวล รู้น้อย รู้ช้า ก็ใจเย็นเรียนรู้ไป ไม่ต้องไปหวังของลอยเเลิศฟ้าอะไรแบบใจไวด่วนได้ ค่อยๆทำไป รู้ไป แก้ไป ขอแค่ให้มั่นใจได้ว่า น้อยนิดที่ตนรู้มันถูก มันควร มันชอบธรรม พอละ ดีกว่ารู้มากมายแต่ไม่ชอบประกอบด้วยธรรม พวกนี้กว่าผมจะสอน ปรับความรู้ ภูมิเก่าออก เอาความรู้ดีๆใหม่ใส่นี่ ยากกว่าสอนคนที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นร้อยเท่า ถ้าท่านรู้น้อย ขอให้ภูมิใจ และสบายใจเถิด อีกอย่างคืออย่ามาหวังอะไรกับ ทิศ กับ ภาพม้า แค่นั้นมันไม่ได้ เหมือนที่เจ้าของโพสที่จุดประกายให้ผมเขียนเรื่องนี้เค้าถามมาในกลุ่มไลน์นะครับ ขอเตือนเถอะ ถ้าอาชีพที่ทำ งานที่คลุกคลี มันอบายมุขหนะนะ สีดำ สีเทา อะไรพวกนั้น จะมาหวังความสุขความเจริญเพื่อให้ฮวงจุ้ยไปขับดันช่วยเหลือ หวย หุ้น พนัน บ่อน เบี้ย สุรา นารี บุรุษ ยาเมา มันไปไม่ได้กี่น้ำหรอก ไม่นานก็หัก ก็ห้อยลง และปกติถ้าทำอาชีพพวกนี้มาดูดวงกับผม หากรับปากว่าจะไปแก้ ไม่ทำที่ไม่ดีแล้ว ผมดูให้แน่นอน แต่ถ้ายืนกรานจะทำให้ได้แต่ขอให้ผมช่วยให้ขายดีนี่ รอรถเมลล์ป้ายหน้าครับ พูดกันตรงๆแบบนี้หละ พื้นฐานยินหยางมันคือ แยกแยะดีชั่ว ไม่ใช่ มืดสว่าง ไกลใกล้ ขาวดำ อะไรแบบที่เข้าใจกัน พื้นฐานยินหยางคือ แยกแยะ กุศล อกุศลให้ออก และยินหยางคือพื้นฐานของดวงจีน ถ้าคุณยังไม่ชัดเจนในตรงนี้และไม่กล้าหาญพอจะแยกมัน คือต่อให้ทำไม่ได้ก็ยังรู้ ยังเห็นว่า อันไหนดี อันไหนชั่วก็ยังดี แต่ถ้าไม่มีเลยและยืนกรานนี้ เติมธาตุอะไรลงไปไม่นานก็สลายหายวั้ป เพราะมูลฐานมันคือ ยินหยางทั้งนั้น
เอาละสุดท้ายคือจะพูดเรื่อง อี้จิง เหนื่อยหน่อยนะครับ อ่านไป ความรู้ก็ได้ บ่นก็ได้ หลายๆคนชอบหาว่าผมบ่น จริงๆไม่ได้เรียกมาบ่น แต่ผมต้องเอาขนมสอดไส้ยาดีให้ท่านทาน คือเอาความรู้ที่ท่านอยากได้เข้าล่อ สอดไส้ไว้ด้วยความชอบธรรมที่สมควรประพฤติตน คนทำดีแล้วเขาคงอ่านด้วยความปีติว่าชีวิตตนเองมาได้ทางถูกแล้ว คนที่โดนจี้ใจดำต่างหากที่จะคิดว่าผมบ่นท่าน ไม่ได้บ่น แต่ที่พูดย้ำๆซ้ำๆ เพราะมันสำคัญและอยากให้ทำ
“ฐานรากที่ลึกสุดของโหราศาสตร์คือ ศีลธรรม”
ถ้าท่านอยากเอาดีทางนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้วิชา ผู้เรียนวิชา หรือผู้เอาวิชาไปช่วยใครเขา ก็ขอให้ดูรากฐานของตนเองดีๆ ว่า มั่นคง ดีงาม ถูกต้อง ฉลาด ไม่มีโทษ แค่ไหนเพียงไร ไปพัฒนารากให้ดี ข้างบนคือ โหราศาสตร์และวิชาที่ท่านเรียนรู้จะดีตาม ผมไม่ได้พูดเองเออเอง ถ้าท่านเคยอ่านตำราจีนโบราณเช่น การเสี่ยงทาย ปู่กว้า หรือที่คนไทยรู้จักว่า อี้จิงนั้น ท่านต้องถือศีลครับ สวดมนต์ครับ บางตำราบอกทานเจ ครับ อันนี้ศีลธรรมไหมครับ หลายคนปรามาสว่า อี้จิงแค่เขย่าๆ ทำนายจะแม่นได้อย่างไร ทำไมยกย่องกันว่าเป็นวิชาสวรรค์ ก็เพราะมันมีกระบวนการก่อนหน้า เรื่องการภาวนาอบรมจิต และถือศีล ก่อนการเสี่ยงทายนั้นๆด้วยครับ สมัยนี้พากันแต่เรียนภาคทำนายทฤษฎี ภาคปฏิบัติจริงๆเรียนกันไม่ครบ
เราพูดกันค้างไว้ เรื่อง มะเมีย คือพลังไฟหยิน ที่ยิ่งใหญ่และเก็บกด เพื่อระบายความร้อนส่วนนี้ในร่างกายและใจ เพราะไฟหยินยังหมายถึง หัวใจ นะครับในตำราการแพทย์ ผมถึงบอกว่า ไฟหยินนี่สำคัญไม่น้อยทีเดียว ในการนี้คนจีน คนพม่า คนอินเดียเก่าๆ จะนอนตอนกลางวันครับ ราวๆ 11 โมง ถึงก่อนบ่ายโมงนี่หละ เพื่อไม่ให้พลังความร้อนสะสม พุ่งพล่านมากเกินไป อันจะทำให้ ง่วงนอนยิ่งตอนบ่ายสำหรับคนไม่แข็งแรง หรือทำให้ร้อนใน กระหายน้ำ ปากคอแห้ง ร้อนท้องหิวตอนบ่ายแก่ๆ ตลอดจนหงุดหงิดหัวใจ คิดอ่านอะไรไม่ค่อยออก เขาจะระบายไฟที่แก่ๆ หง่อมๆ อึดอัดนี้ด้วยการนอน ซึ่งจริงๆไม่ใช่ให้เพื่อหลับ แต่เพื่อให้ จิตใจได้สงบ ผ่อนคลาย ให้ธาตุไฟย่อยอาหารได้ทำงานอย่างราบรื่น สมดุลย์ ไม่เหลือเกินมาทำร้ายร่างกาย และซึมซับพลังหยางชี่เอาไว้ด้วย
ในอี้จิง 易經 แล้ว เราจะแยกเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ ส่วนที่ว่าด้วย กว้า และส่วนที่ว่าด้วยคำอธิบาย หากแยกลงไปอีก จะได้เป็น คำอธิบายส่วนปรัชญา และส่วนทำนาย ในตำราซัวกว้าจ้วน 說卦傳 ตำราว่าด้วยการอธิบายอี้จิง ซึ่งบางที่เชื่อว่า ขงเบ้งมีส่วนร่วมในการแต่ง ในกว้า เฉียน หรือ เคี้ยง 乾 กว้าสำคัญของทั้งหมด 8 ปว้า หรือ โป็ยข่วย อธิบายเอาไว้ว่า 乾為馬,為良馬
แปลว่า กว้าเฉียน ที่แทนค่าด้วย ฟ้า สวรรค์ บรรพชน ผู้เป็นใหญ่ บารมีนั้น ในตำราอี้จิงเดิมได้พรรณาคู่กับ มังกร เอาไว้หลายตอน จนมีการเขียนความหมายของ เฉียน ว่าหมายถึงมังกร ถึงฮ่องเต้ แต่ในตำรา 說卦傳 อธิบายว่า หมายถึงม้า ด้วย เพราะกว้านี้คือการ เคลื่อนไป สร้างไป เปลี่ยนไป
乾.大象曰 : 天行健,君子以自強不息 กว้าเฉียน ถูกอธิบายว่า ฟ้านั้นแปรไปและสร้างไป วิญญูชนนั้นก็เช่นกันสร้างความเข้มแข็งตนแบบไม่หยุดยั้ง อ่านแล้ว งงไหม หากไม่เข้าใจก็จะแปลตามอักษรแบบ งงๆ เช่นนี้ ถ้าจะแปลให้เข้าใจคือว่า 天 ในที่นี้แปลว่า เวลา กาลเวลา ผมเคยพูดไว้ในการบรรยายและตำราผมหลายที่แล้วว่า บริบทคำว่า ท้องฟ้าของจีน คือ เทียน 天 มีใช้ต่างๆกันไป จึงต้องแปลว่า กาลเวลานั้นผันแปรไปไม่จีรังถาวร เวลาเคลื่อนคล้อยไปเรื่อยๆ ก็ย่อมเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ดับไป เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆด้วย วิญญูชนคือผู้มีปัญญารู้เห็นความจริงของธรรมชาตินี้ ก็ย่อมต้องมีขันติและวิริยะ คือพากเพียรฝึกฝน อดทน พัฒนาตนอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะมันหยุดไม่ได้ มันเปลี่ยนไปตลอด เฉกเช่นเดียวกันกับ กาลเวลา ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ขันติ พะลัง วะยะตีณัง ขันติเป็นกำลังของผู้พากเพียร เราพูดถึงแรงที่เป็น power และ force กับ energy ที่มันจะต้องไปร่วมกัน เพราะแรงของขันติคือ วิริยะ พากเพียรนี้ทำให้ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวงไม่กลับมาเวียนว่ายได้ คือไม่ต้องมาตกในห้วง แก่เจ็บตายใต้ กาลเวลา นาฬิกาชีวิตที่เปลี่ยนไป ท่านจะได้เลิกงง ว่าทำไม เอาความพากเพียรของผู้มีปัญญาไปเปรียบว่ามันเคียงคู่ฟ้าและการเวลา เพราะถ้าไปถึงขีดสุดของมันแล้ว ไม่ต้องกลับมาเวียนว่าย หรือพูดสั้นๆคือ เพียรในทางสายที่ถูกตรง เพียรรอบเดียว จบ งานทางโลกไม่จบ เพราะต้องกลับมาเกิดอีก แต่งานทางธรรม ทำแล้วจบ ก็เพราะฉะนี้
ในอี้จิงแล้ว ม้า กับ มังกร จึงเป็นความหมายสัตว์มงคลที่ใกล้เคียงกัน ตัวนึงอยู่บนฟ้า ตัวนึงอยู่บนดิน ภาพวาดมังกรโบราณของจีน ถูกพรรณาไว้ในตำรา หลุนเหิง ว่า 《論衡‧龍虛篇》:『世俗畫龍之象,馬頭蛇尾』ธรรมดาภาพมังกรที่นิยมวาดกันนั้น หากจะให้พรรณาแล้ว อุปมาย่อๆ เหมือน หัวเป็นม้า ลำตัวและหางเป็นงู นั้นเอง นี่คือ คำอธิบายภาพมังกร ในพจนานุกรมโบราณที่สุด ชื่อพจนานุกรมซัวเหวินเจี่ยจื้อ《說文解字》:「 馬七尺爲騋,八尺爲龍。」กล่าวว่า ม้านั้นหากสูงเจ็ดฟุตเรียก 騋 ไหล หากสูง 8 ฟุตย่อมเป็น 龍 เล้ง/หลง มังกร นั่นเอง
นิทานไซอิ๋ว เลยแต่งเล่าให้เจ้าชายมังกรกลายมาเป็นม้าของพระถัง เรื่องนี้คล้ายๆเค้ามูลทางศาสนาพุทธเถรวาทเราที่หากเราเปรียบมังกรเป็น นาค ทั้งนาค และม้า ต่างเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญในเชิงพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในล้านนาที่มีการแห่ปอยลูกแก้ว หรือการบรรพชาสามเณรแบบล้านนาจะให้เด็กสวมชฎาขี่ม้า มุ่งหมายถึงตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงม้าออกผนวช
พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบเกี่ยวกับม้า และความอดทน
ภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนยพันธุ์ดีของพระราชา ประกอบด้วยองค์ ๖ ประการ เป็นม้าควรแก่พระราชา ควรเป็นม้าต้น นับว่าเป็นราชพาหนะโดยแท้
องค์ ๖ ประการ อะไรบ้าง คือ ม้าอาชาไนยพันธุ์ดีของพระราชาในโลกนี้ …เป็นสัตว์อดทนต่อรูป …เสียง ..กลิ่น ..รส ..โผฏฐัพพะ (สิ่งสัมผัสกาย) ๖. เป็นสัตว์สมบูรณ์ด้วยเชาว์(ฝีเท้าเร็ว) …ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้ เป็นผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย ฯลฯ เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก
ธรรม ๖ ประการ อะไรบ้าง คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. เป็นผู้อดทนต่อรูป ฯลฯ ๖. เป็นผู้อดทนต่อธรรมารมณ์ …ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ม้าอาชาไนย๑- พันธุ์ดีของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๓ ประการย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา ควรเป็นม้าต้น นับว่าเป็นราชพาหนะโดยแท้ องค์ ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ
ม้าอาชาไนยพันธุ์ดีของพระราชาในโลกนี้ ๑. สมบูรณ์ด้วยสี ๒. สมบูรณ์ด้วยกำลัง ๓. สมบูรณ์ด้วยฝีเท้าเร็ว
ม้าสมบูรณ์ด้วย.. สี . กำลัง . ฝีเท้าเร็ว .
ม้าอาชาไนยพันธุ์ดีของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้แลย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา ควรเป็นม้าต้น นับว่าเป็นราชพาหนะโดยแท้ ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ … คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. สมบูรณ์ด้วยวรรณะ คือมีศีล สำรวมด้วยความสังวรในปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๒. สมบูรณ์ด้วยกำลัง คือ ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อให้กุศลธรรมเกิดมีความเข้มแข็ง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย
๓. สมบูรณ์ด้วยเชาวน์ คือ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า “นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัยนี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ทักษิณา ควรแก่การทำอัญชลีเป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก
ปฐมอาชานียสูตรที่ ๕ จบ
ภาพม้า วาดโดยจิตรกรอิตาลีที่รับราชการในวังหลวงจีน นาม Giuseppe Castiglione ประทับตราด้านบนไว้ว่าของสะสมแห่งองค์ฮ่องเต้ สมบัติล้ำค่าของช้าน
ภิกษุฯ สมบูรณ์ด้วย .. วรรณะ = ศีล . กำลัง = วิริยะ . เชาว์ = รู้ชัดอริยสัจสี่ พระไตรปิฎก
เขียนเรื่องนี้เล่าในหลายมุมมอง
เพื่อให้ท่านเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้า ที่สำคัญคืออยากให้เห็นจิตตนเองว่า ภาพม้า ภาพเดียวกันนี้ ตอนต้นเล่าไปในเชิงศิลปะ ต่อมาเล่าในเชิงวัฒนธรรมภาษา ต่อมาเล่าในเชิงโหราศาสตร์ และฮวงจุ้ย สุดท้ายกล่าวในเชิงคุณธรรมโดยยกพุทธพจน์ เพื่อให้ทราบระดับจิตใจ และความสุข ความอิ่มใจ ความรู้ ความสว่างปัญญาที่เกิดขึ้นว่า ภาพม้าใช้ในทางอวยพรแบบโลกๆ ให้สุข สบาย ค้าขายร่ำรวย รวดเร็ว ก็อย่างหนึ่ง อวยพรแบบปรัชญา ให้อดทน คู่ควรกับคนดี ชำนาญทาง แสนรู้ ก็ได้สติอย่างหนึ่ง อวยพรแบบโหราศาสตร์จีน ให้ดูแลกาย ใจ รู้จักพลังงานของโลกและจักรวาล พลังของธาตุไฟ ก็เกิดจิตแบบหนึ่ง ความรู้แบบหนึ่ง สุดท้าย ภาพม้านี้ ถ้ามีความรู้ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ในความ อดทน ความพากเพียร ความสง่างาม ความมีเชาวน์ของม้า เป็นข้อเตือนใจให้ใคร่ครวญในธรรม ภาพม้าเดิมที่เคยกลายเป็นม้ามงคลแบบโลกๆ ก็เป็นภาพปริศนาธรรมเตือนใจให้เกิดกุศลได้
ขอลาไปด้วยภาพ ม้าดินเผาเคลือบสีแบบฝรั่ง ของเล่นในวังเฉียนหลง บรรยายว่าเป็นจานสำหรับเครื่องหอม ในภาพเป็นม้าแบกของขวัญของมงคลเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์มงคลอย่างหนึ่งของจีน นอกจากความหมายมากมายตามแต่นัยยะที่บรรยายไปแล้ว อันนี้คือ การนำมาสู่ซึ่งความเจริญดีงาม เอามายืนยันให้เห็นว่า ชนชั้นสูงจีนเวลาจะอวยพรกัน อาจจะเพราะเค้ารวยอยู่แล้วด้วยนะ เลยไม่ค่อยอวยพรกันแค่ความร่ำรวยแบบชาวบ้านที่นิยมทำกันในสมัยนี้ ท่านมักจะอวยพรกันแบบครบเครื่อง โดยเฉพาะหากเป็นม้าแล้ว มักจะอวยพรหนักไปในทาง ยศ เกียรติ มากเสียกว่าเงินทอง
เวลาเปลี่ยนไปนะหนะ คำอวยพรกับความเป็นม้าก็เปลี่ยนไป มันสะท้อนอะไรลึกๆว่า ต่อให้จะเปลี่ยนการปกครองจีนแล้ว ไม่มีฮ่องเต้แล้ว ชาวบ้านก็ยังคงอยากแค่ รวยดีมีเงิน ส่วนนักปราชญ์ หรือคนมีความรู้ ก็ยังคงปรารถนาแค่ได้รู้ ได้ปัญญา ได้ทำหน้าที่
สิ่งของในโลก ไม่เคยมีค่าอะไร จนกว่าคนไปตีความมัน มันจะทุกข์ก็เมื่อไม่อยากเสียมันไป มันจะดีงามก็ต่อเมื่อได้เสพย์คติอันทำให้ใจสูงจากมัน แต่สุดท้าย เราไม่เคยได้อะไรเลย เรา ไม่เคย ได้ อะไร เลย …
ขอให้บทความนี้ เป็นมนต์อวยพรไปสู่ภาพม้า ที่ทุกๆท่านมี หรือท่านที่กำลังจะคิดเอา ภาพม้า รูปปั้นม้าให้ใคร ก็จะได้นำบทความนี้ไปให้เขาอ่านประกอบ จะได้เกิดผล เกิดความสุข ตามแต่ระดับๆ ที่ได้บรรยายไป ตามที่ชอบที่ปรารถนา ถ้วนหน้ากันนะครับ เขียนเรื่องม้า ต้อนรับปีหนู ปีที่คนศึกษาดวงจีนย่อมรู้ว่า … ซินแสหลัว สำนักเรียนการเวลา ใช้เวลาเขียนบทความนี้อย่างตั้งใจ ราวๆ 3 ชั่วโมงกว่า ขอมอบเป็นของขวัญให้ทุกท่าน สวัสดี
https://k.sina.com.cn/article_7145382971_1a9e5e43b00100r17s.html?from=cul&subch=insurance
http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=141
http://collection.sina.com.cn/yjjj/2019-09-17/doc-iicezueu6350564.shtml
https://web.facebook.com/watphrabattakpha/posts/2621656577905592/?_rdc=1&_rdr
Comments