สวัสดีแฟนๆผู้ติดตามอ่านบทความของผมอีกครั้ง ขอไหว้งามๆรอบใหญ่ๆที่หายหน้าหายตาไปนาน เพราะเนื่องจากพอมีกลุ่มโหราศาสตร์จีนและศิลปวัฒนธรรมจีนที่มีสมาชิกเข้ามาพรวดปีเดียวหลายหมื่นคน ก็ทำให้เวลาที่เอามาใช้เขียนบทความหมดไปกับการตอบคำถาม เล่าเรื่อง และไขข้อข้องใจทางวิชาการโหราศาสตร์จีนให้คนทั้งหลาย อีกทั้งคิวดูดวงดูฮวงจุ้ยก็ยาวยืด ขอบอกว่า คนที่รอก็ขอเป็นกำลังใจให้รอต่อไปนะครับ ผมไม่ได้เรียงคิวหรอกจริงๆ ดวงไหนง่าย อันไหนคุยเยอะ ปัญหาน้อย ผมดูก่อน คนไหนมีเรื่องด่วน ผมดูก่อน พวกรอได้ก็รบกวนรอนหน่อย ขอแจ้งให้ทราบว่า ณ ขณะที่พิมพ์นี่คือเดือน เมษายนแล้ว แต่คิวที่ดูไปนั้น ยังไม่พ้นเดือน ธันวาคม ปีที่แล้ว ที่ได้จองมาเลยครับ ตอนนี้ยังมีไลน์ มีหนังสือต้องเขียนอีก ก็เยอะเข้าไปใหญ่ แต่พอดีวันนี้เห็นเป็นประเด็นคำถามที่น่าสนใจ (อยากให้ถามกันเยอะๆ เพราะมันจุดประกายให้ผมค้นคว้าหาคำตอบด้วยครับ) ก็เลยมาตอบหน่อย เขียนบทความหน่อย ปัดฝุ่นฝีมือฝีปากตัวเองที่ไม่ได้ใช้มานาน ดังนี้นะครับ
ตำรา ตีเทียนสุย ชื่อหรูมากๆ แปลความว่า หยดหนึ่งของไขกระดูกสวรรค์ คนจีนให้ความสำคัญกับไขสันหลังหรือไขกระดูกมาก แทบเรียกได้ว่าคือชีวิต เป็นท่อเชื่อมระหว่างมิ่งเหมินไปสุยไห่ ถามว่า สุยไห่คืออะไร ก็คือ สมองคนเรานี่หละ หยดหนึ่งของไขกระดูกสวรรค์จึงเป็นการเปรียบเปรยถึงตำราที่เผยดวงชะตาขั้นสูง แน่นอนอย่าว่าแต่ท่านเลย ต่อให้คนเรียนวิชาโหราศาสตร์จีนเป็นสิบๆปีหลายคนก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก เพราะมันลึกมาก จนไม่มีใครกล้าแปลออกมาขายหรอก อีกอย่างคือไม่แพร่หลายเท่าอี้จิง เพราะคนที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องห้าธาตุ ก็ยังพอทำความเข้าใจอี้จิงได้บ้าง แต่ได้ไม่หมดหรอก เพราะต้องมีพื้นนี้ถึงจะทะลุ แต่ว่า ตีเทียนสุย ต้องเป็นคนที่ช่ำชองห้าธาตุ เชี่ยวชาญการอ่านดวงชะตาคนด้วยวิชาโหราศาสตร์จีนมา ถึงจะอ่านเข้าใจ ลำพังได้แค่อ่านภาษาจีน อ่านไม่รู้เรื่องแน่ๆ ตำรานี้เล่าว่ากำเนิดในยุคราชวงศ์ซ่ง ราวๆ คศ 900 กว่า หรือเมื่อประมาณ พันกว่าปีที่แล้ว และอีกข้อมูลก็บอกว่าเกิดราวๆสมัยราชวงศ์หมิง หลิวป๋อเวินกุนซือประจำตัวจูหยวนจาง คนก่อตั้งราชวงศ์หมิง หนึ่งในเบื้องหลังที่ทำให้จูหยวนจางได้เป็นฮ่องเต้ เป็นคนแต่ง ซึ่งสมัยซ่งก็เป็นสมัยเดียวกับที่ สวีจื้อผิง หรือ จื้อเพ้ง โหราจารย์จีนที่หมอดูจีนกล่าวขานถึงมากที่สุด มีชีวิตอยู่ด้วย แต่อย่าไปเข้าใจว่าตำราทั้งหลายที่แปะชื่อจื้อเพ้ง ที่ท่านใช้ศึกษานั้น แต่งขึ้นโดยท่านเอง เปล่าเลย ตำราเหล่านั้นถูกรวบรวมและเรียบเรียงโดยนักโหราศาสตร์จีนสมัยหมิงและชิง หรือเมื่อราวๆ ไม่กี่ร้อยปีนี่เอง ตีเทียนสุย จึงมีเค้าโครงข้อมูลที่น่าเชื่อได้ว่า เก่าแก่กว่ามากนัก ก็ช่วยไม่ได้นะ พอผมเห็นชีวประวัติท่านเล่าจื้อผมก็สำเนียกตัวเองทันทีเลยว่า หนอนหนังสือบ้าตำรามาก่อน แล้วเอามาปรับใช้จึงจะเก่งแท้ พวกที่ทึกทักเอาเองไม่ดูตามาตาเรือ หรือขนาดว่าตั้งฉายาให้ผมว่า หมอดูจีนบ้าตำราอะไรก็แล้วแต่เถอะ พวกนี้กะลาครอบชัดๆ ความรู้คนที่สั่งสมกันมาหลายพันปี อ่านที่ท่านเขียนให้หมดเสียก่อน ค่อยมาเอาความคิดจากสมองอายุขัยน้อยๆของตัวเองแค่ 1 ชั่วคนอย่างมาก ไม่ถึง 60 -70 ปี มาประมาทความรู้ครูบาอาจารย์เลย เพราะฉะนั้น การศึกษาตำรา จึงสำคัญมากๆ เล่าจื้อเป็นเพียงบรรณารักษ์ห้องสมุดประจำแคว้นเท่านั้น มีความรู้กว้างขวางขนาดได้รับยกย่องเป็นปรมาจารย์ ยกย่องเป็นมหาเทพสูงสุด เพราะแต่งตำราสะเทือนโลก 5 พันตัวที่เรียกว่า อี้จิง ออกมา แต่งแบบว่า นายด่านเฝ้าประตูเมืองขอให้แต่ง ไม่ได้ตั้งใจแต่งขึ้นอวดสรรพคุณตัวเองด้วย ตำนานเล่าว่า พอแต่งจบใช้เวลาไม่กี่วัน ก็ออกประตูเดินจากไป
ตีเทียนสุย มหาตำราโหราศาสตร์จีนโบราณเก่าแก่ฉบับหนึ่งได้ให้ความหมายของ ธาตุดิน เอาไว้ว่า
戊土固重,既中且正。静翕动辟,万物司命。水润物生,火燥物病。若在艮坤,怕冲宜静。 己土卑濕, 中正蓄藏,不愁木盛,不畏水狂,火少火晦,金多金光,若要物旺,宜助宜幫.
แปลแบบรวมๆจากสติปัญญาอันน้อยนิดของผมหละนะ คือ ธาตุดินในตำราโหรจีนแบ่งเป็นดินหยินดินหยาง ตามความเชื่อทางปรัชญาจีนว่าทุกอย่างล้วนมียินหยาง ดินหยาง ดินหยางธาตุมีมวลหนักมวลหนา มีสถิตตำแหน่ง ณ จุดกลาง ไม่ว่านิ่งแน่หรือติงไหวก็มีฐานบาทจุดยืน เป็นที่รวมแห่งสรรพสิ่งพลังกำเนิดชะตาทั้งหลาย มีน้ำชุ่มก็กำเนิดชีวิต มีไฟแรงแห้งแล้งมากไปก็ได้ภัยเภทเหตุป่วย คือต้องพึ่งพาอาศัยพลังกลจักร น้ำ ไฟ ทอง ไม้ จากภายนอก จู่ๆดินจะมีพลังแบบโดดๆด้วยตัวเองไม่ได้ เป็นตัวที่คอยซึมซับและเป็นตัวแปรสภาพทุกๆอย่าง และรองรับเอาทุกอย่าง ดินเกิดน้ำไม่ได้ แต่ดินอุ้มน้ำได้ ดินเป็นเชื้อไฟไม่ได้ ทำให้ไฟลุกไม่ได้ แต่ดินอุ้มไฟได้ ทองโดนไฟยังหลอม ไม้โดนไฟเป็นเถ้า แต่ดินเจอไฟก็ยังเป็นดิน ดินเลยเป็นธาตุที่แปรสภาพยากสุด พลังงานจลน์ พลังงานศักย์น้อยสุด แต่เป็นตัวอุ้ม ตัวซับ ที่ดีที่สุด ทำหน้าที่คล้ายๆฉนวน แต่ดินหยินนั้นแกร่งชื้น มีสภาพอยู่ใจกึ่งกลางและพร้อมจะให้การแปรสภาพสรรพสิ่งได้ ไม่ยี่หร่าต่อธาตุไม้ที่จะมาข่มที่มีกำลังมาก และไม่สะท้านสะเทือนกับการมีน้ำมากๆ ถ้าไฟน้อยมาเจอไฟจะไม่เปล่งแสงเฉิดรังสีฉาย ถ้าทองมากทองจะส่องประกาย สามารถหนุนส่งทุกๆธาตุให้ลุกโชนพลัง ทำพลังให้หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน ก็คือตัวเชื่อมฤดูหนะหละ ถ้าใครรู้ทฤษฎีจีน มันเหมือนแบบถนนตอนขึ้นเนิน เนินเปรียบเหมือนฤดูที่เปลี่ยนไป เวลาเราจะขึ้นเนิน เค้าก็จะทำทางให้ลุ่มลาดลงก่อน เวลารถจะลอดอุโมงค์ ก็จะทำทางปากอุโมงค์ให้โก่งๆขึ้นหน่อย ดินก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าตัว ลาดลง หรือ โก่งๆนี่หละ ลดแรงกระแทกกระทั้นให้ มันต่างจากวลีพื้นๆที่ก็ไม่รู้เอาที่ไหนมาท่องกันหนะนะ พวกชอบความรู้แบบกึ่งสำเร็จรูปคือชอบเรียนหรือชอบฟังบรรยายแบบ สามสี่วันครอสหนึ่งอะไรแบบนี้นะ มาอ่านบทความนี้ของผม งง ตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้เรื่องหนะ ไม่ต้อง งง ไปหรอก แค่อยากโชว์ให้เห็นว่าเวลาผมพูดอะไรหนะ พลิกตำราไม่รู้กี่เล่มแล้วเอามาพูด ไม่ได้นั่งเทียนพูดก็แล้วกัน ถ้ามันจะผิด ก็ขอโยนความผิดทั้งหมดให้ตำราและคนอีกหลายล้านคนที่ร่วมกันชำแหละมาหลายพันปี แต่ขอโทษ ก่อนจะพูดข้อมูลไหนออกไป ผมทำการทดลองกับดวงชะตามาแล้ว อย่างเรื่อง ดินสี่ตัว นี่ ผมเคยดูดวงคนที่มีดินสี่ตัวนี้มาหลายดวงแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่เอะอะก็เชื่อแต่ตำรา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไหนมาท่องตามๆกันว่า
ดิน ดินมากได้น้ำ ถึงจะโปล่งโล่ง ดินกำเนิดทอง ทองมากดินเสื่อม ดินมากได้ทอง คลายความแน่น ดินพิฆาตน้ำ น้ำมากดินไหล น้ำน้อยเจอดิน เคลื่อนไหลอุดตัน ดินได้ไฟเกิด ไฟมากดินแตก ไฟกำเนิดดิน ดินมากไฟมอด 土 土 旺 得 水 , 方 能 疏 通 . 土 能 生 金 , 金 多 土 变 ; 强 土 得 金 , 方 制 其 壅 . 土 能 克 水 , 水 多 土 流 ; 水 弱 逢 土 , 必 为 淤 塞 . 土 赖 火 生 , 火 多 土 焦 ; 火 能 生 土 , 土 多 火 晦 .
ก็จากปัญญาอันน้อยนิดอีกหละ สันนิษฐานว่าข้อความนี้แต่งเพื่อพรรณาเปรียบเปรยกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเพื่อให้จำง่าย แต่งเพื่อให้แพทย์จีนใช้เรียนใช้จำ ไม่ได้แต่งเพื่อให้หมอดูจีนเอามาใช้ เพราะนี่เป็นการอธิบายธาตุดินในเชิงที่ ธาตุดิน กับ อีก 5 ธาตุ มีสภาพเท่าเทียมกัน เป็นผังภาพการก่อเกิดและการควบคุมแบบวงจร 5 ตัว ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ วาดออกมาเป็นรุปดาวๆ ผังวงกลม แต่ที่ผมกำลังอธิบายข้างต้น เป็นทฤษฎีมูลฐานซึ่งค่อนข้างจะเชื่อมโยงกับตำราโลกธาตุ หรือ ตำราเกี่ยวกับ ธาตุของโลก อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามความเชื่อแบบพุทธ หรือ อินเดีย ซึ่งอธิบายความหมายธาตุดินออกมาโดดๆ และมีความโดดต่างจากพลังงานทั้ง 4 กล่าวคือ ดินเป็นตัวที่มีรูปร่าง ต่างจากธาตุอันอื่นที่เน้นไปทางพลังงาน ผังห้าธาตุแบบจีนเก่าที่อ้างอิงเอายินหยางก็เลยเป็นผังที่ ดินอยู่ตรงกลาง ไฟแทนทิศใต้ น้ำเหนือ ทองตะวันตก ไม้ตะวันออก แต่สมัยต่อมาก็มีการเอาดวงจีนไปเทียบกับดวงดาวแล้วก็ออกมาเป็นรุปของนักษัตรกับหล่อแกแบบใหม่ที่มีทิศของดินทั้ง 4 ตัว ได้แก่ ทิศฉลู ทิศมะแม ทิศมะโรง ทิศจอ อันนี้เรียกตาม วงรอบ 12 นักษัตรแบบนั้น ถึงคราวเข้าเรื่องละนะ อันนี้ความรู้ชั้นสูงขอบอก เขาไม่สอนกันหรอก แต่ผมอดไม่ได้เอามาพูดให้จะได้เห็นความกระจ่างไม่โง่งมกันไป
ดูเอาตามภาพหน้าปกนะ
ดินมะโรง ประกอบด้วย ดินหยาง ไม้หยิน น้ำหยิน
ดินฉลู ประกอบด้วย ดินหยิน น้ำหยิน ทองหยิน
ดินจอ ประกอบด้วย ดินหยาง ทองหยิน ไฟหยิน
ดินมะแม ประกอบด้วย ดินหยิน ไฟหยิน ไม้หยิน
จะเห็นได้ว่า ตัวดินที่ยืนพื้นในแต่ละนักษัตร มียินมีหยาง แต่ตัวที่เป็นไส้ใน สอดใส้พลังธาตุให้แต่ละนักษัตรกลับเป็น หยิน เพื่อเป็นตัวต่อขั้วพลังกับ พลังของ ซาหวย และซาฮะ ยกตัวอย่างเช่น ดินมะโรง เป็น คู (คลัง – หีบ) ของไม้ สามารถก่อให้เกิด ซาหวย ซาฮะ ของ ไม้ กับ น้ำได้ ก็ต้องไปเชื่อมกับ เถาะ(ไม้หยิน) หรือ ชวด(น้ำหยิน) ไปประกอบกับส่วนหัวอีกตัว คือ กุน ไม่ก็ วอก แล้วแต่ประเภท พูดง่ายๆคือ ธาตุแฝงแต่ละอันของดินเป็นตัวต่อเชื่อมตัวธาตุยินที่จะทำหน้าที่เป็น ฮวา (ดอกไม้ – ตัวแพร่) ของไม้ หรือ น้ำ ตามลักษณะประกอบนั้นๆ อันนี้คนเรียนดวงจีนจะเข้าใจ พวกไม่เรียนไม่เข้าใจอีกหละ ดินทั้งสี่ มีพลังยินภายในเชื่อมกันอยู่ เห็นไหม น้ำหยินในมะโรง เชื่อม น้ำหยินในฉลู ทองหยินในฉลู ก็เชื่อมทองหยินในจอ แบบนี้ต่อๆกันไป ไหลหนุนเนื่องสี่ตัว และเนื่องจากธาตุดินเป็นตัว ปรับ ตัว กำเนิด และอีกหลายๆหน้าที่ตามที่อธิบายไปข้างต้น เค้าเลยเขียนชื่อให้ใหม่เปรียบเทียบการทำงานของมันแบบง่ายๆว่า เสมือนกับคลัง ให้เรานึกถึง โรงเรือน จะเพาะจะปลูกอนุบาลอะไรก็ต้องทำในโรงเรือน จะเก็บอะไรก็ต้องทำในโรงเรือน ส่วนตัว ฮวา เช่น เถาะ ชวด มะเมีย ระกา สี่ตัวนี้ทำหน้าที่แพร่พันธุ์ เหมือนเรายกต้นกล้านั้นออกมานอกโรงเรือน ให้มันได้ผลิดอกชูช่อขยายละอองเกสรให้ขจรไปไกล และอีกอันคือ หัว คือ กุน ขาล วอก มะเส็ง อันนี้ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง ออกตกเหนือใต้อะไรทำนองนั้น ใครที่เคยฟังผมบรรยายหรือติดตามอ่านบทความผมคงทราบว่า ผมเคยพูดว่า ตำราจีนนอกจากเน้นพลังงานยังเน้นทิศมากๆ เพราะเหมือนเราขับรถ ต่อให้น้ำมันเต็มถังเครื่องยนต์ดี แต่จะไปทางเชียงใหม่ กลับขับลงไประยอง แบบนี้ไม่มีทางถึงเชียงใหม่แน่ๆ ทิศทางเลยสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ทำความเข้าใจแบบปัญญาชนคนอ่านภาษาจีนได้เสียใหม่ครับว่า คลัง เป็นการเปรียบเปรย แต่ไม่ได้มีอานุภาพเป็นคลังจริงๆ เปรียบเปรยให้รู้หน้าที่เฉยๆ เพราะฉะนั้น วันที่ สี่คลังเรียงตัวอะไรก็แล้วแต่ที่พากันไปตั้งชื่อหรูๆหนะนะ ขอแจ้งให้ทราบว่าไม่มีพิษสงอะไรกลับมีผลร้ายเสียมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นวันฉนวน พลังงานไม่เดิน เหมือนคันนา ในท้องนาหนะ ปลูกข้าวได้ แต่คันนา ทำหน้าที่แค่ กั้นน้ำ กักข้าว และก็เป็นที่ให้คนเดิน เท่านั้นหละ ถามว่าสำคัญไหม สำคัญ แต่ใช้ให้ถูกฟังก์ชั่น วันนี้ไม่ได้เหมาะกับการเอามาขอโชคขอลาภเงินทองอะไรทั้งนั้น นี่ไงมันเลยทำให้ประชาชนมึน เพราะลองไปให้โหรไทยคำนวนสิ จะต้องออกมาส่ายหัวแน่ๆ ชะตาคนที่เกิดวันแบบนี้ที่ผมเห็นมานักต่อนัก คือ ขายดีแบบเรื่อยๆ ไม่ดีมาก ไม่หล่นมาก ขยายไปได้เรื่อยๆ แต่มีความป่วยเจ็บทางกายเสมอ และไม่ค่อยกล้าเปลี่ยนแปลง คือมีกินมีใช้ว่าง่ายๆ ไม่จน และไม่รวยมาก ป่วยๆหน่อย ก็แนวๆมนุษย์เดินดินทั่วไป คนที่มีชื่อเสียง มีรวยอู้ฟู่ ไม่เคยมีใครมีดวงแบบดินรวมกันสี่ตัวครบแบบนี้อยู่เลย ผมย้ำมาเสมอว่า ถ้าเป็นคำทำนายที่มันใช่จริงๆ ไม่ว่า วัน เดือน ปี ดังกล่าว จะคำนวณด้วยวิชาอะไร ผลย่อมตรงกัน ถ้าใครไม่เชื่อ เอา วันเดือนปีนี้ ผูกดวงแบบไทยดู แล้วดูไปเลยว่ามันโชคลาภตรงไหนกันมิทราบ อันนี้ขอฝากไว้ ทองแท้ไม่กลัวไฟ ดวงจีนแท้ๆก็จะไม่กลัวการถูกพิสูจน์เช่นกัน ทีนี้พวกดินเยอะๆ หรือ ดินเรียงตัวสี่กัน ถ้าเจอวันแบบนี้ควรทำอะไร ทำอะไรก็ได้ที่ไม่อยากให้ลุกขึ้นได้ และไม่อยากให้ล้มลงไป ชัดๆคือ พวกก่อสร้าง อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างแบบ อนุสรณ์สถาน อนุสาวรีย์ หรือหลุมศพ แนวๆว่า ธรรมดาไม่ต้องการให้คนมาเยอะๆ และก็ไม่ต้องการให้คนที่ตายแล้วลุกขึ้นมาจากหลุมอะไรแบบนี้ด้วยนะ แบบดีมากก็ไม่ใช่ ร้ายมากก็ไม่เอา แต่มันก็จะมาแปรตรงสัดส่วนธาตุกิ่งฟ้าอีกหละ ที่จะบอกเราว่า ไม่มีอะไรเสถียร หรือ ตรงกลางแบบเป๊ะๆ หรอก มันจะมีตัวไม่นิ่ง ตัวเอียงข้างของตราชั่งในการแสดงออกมา วันพวกนี้คล้ายๆกับวันปรอด คือไม่ใช่ว่าทำอะไรก็ปลอดภัยนะ ขอร้องเข้าใจผิด โหรไทยท้วงมากันหลายคนแล้ว เห็นชื่อ ก็เอาไปทึกทักว่า ใช่เลยๆ แบบที่เห็นหนังสือจีนเขียนว่า คู แปลว่า คลังหรือหีบ ก็เอาไป ทึกทักว่า คลังแน่ๆเลย รู้จักจับหยี่เชียงแซไหมจ๊ะที่รัก ใครที่รักโหรจีนรู้จักแน่ๆ ลองไปพลิกอ่านดูสิจ๊ะ ในตารางเชียงแซหนะ นี่ตารางแบบชั้นสูงมานิดนึงละนะ สูงของพวกเธอหนะนะ ดูเลย ช่อง ม่อ คำที่แปลว่า หลุมศพหนะ นั่นหละ ดินสี่ตัวนี้ทั้งนั้น สรุปว่า คำอธิบายอันนึงเขียน คลัง อีกอันเขียน หลุมศพ เฟ้ย ก็แปลว่าอย่าไปยึดกับถ้อยคำ นี่พวกโหรจีนประเภทไม่เคยเรียนหนังสือจีนจะพลาดตรงนี้หละ เพราะมันคือการอธิบายความหมายธาตุดินและการทำงานแบบที่ผมบอกไปข้างต้นไง จะกำเนิดก็ต้องมีดินเป็นบาทฐาน ครั้นจะม้วยมรณาก็คือมีดินเช่นกันเป็นตัวรองรับ ลองไปหาหมอไทยหรือหมอจีนแล้วบอกว่า พลังธาตุ หรือความชำรุดบกพร่องพิการ ความเสียหายอะไรลงธาตุดินในร่างแล้วนี้คือ ยากจะขุด ยากจะขุน ยากจะรักษาทั้งนั้นนะ เช่นถ้ามันได้เข้ากระดูก ลงกระเพาะ แฝงในอวัยวะแบบลึกๆพวกนี้ละก็ แก้ยากกันอุตลุต ดินเลยเป็นตัวกลบตัวฝัง เป็นคลัง เป็นหลุมศพ โอ้แน่นอน คนอ่านประวัติศาสตร์จีนก็จะทราบ ฮ่องเต้ตาย ฝังทรัพย์กับร่างไว้ด้วยกันนะบอกให้ คลังสมบัติกับหลุมศพก็เป็นอันเดียวกันได้ จริงไหมหละ แต่มนุษย์ต้องการพลังแอคทีฟ ถ้าอยากขุดหลุมฝังตัวเองก็เอา เชิญสรรเสริญว่าฤกษ์นี้ดีต่อไป แต่คนที่มีดวงดินสี่ตัวครบไม่ต้องหน้าซีด ถ้ากังวลมาก เชิญอ่านเวป www.chinese-horo.com ของผมให้หมดทุกหน้า ถ้ายังไม่แจ้งแก่ใจ ก็โทรมา ตามเบอร์ในนั้นหละ เนาะ
บอกไปละนะว่า ไม่เหมาะทำอะไร และเป็นวันเหมาะสำหรับทำอะไร แต่ก็ยังไม่เหมาะจะทำหลุมศพเพื่อให้รุ่งเรืองนะ เพราะพลังมันไม่มี คล้ายๆกับ แบตที่ไม่ได้ชาร์จนั้นหละ ทำหน้าที่ได้แค่ ปาหัวสุนัข ไม่ต่างจากก้อนหิน มันเป็นวันที่เอามาเตือนตัวเองว่า พักบ้าง หยุดบ้าง ว่างๆบ้าง ปล่อยวางบ้าง พอๆกับที่จะวิ่งแข่ง วันนี้มันเหมือนกับเค้าขานว่า เข้าที่ คือ นั่งลงแล้วกำหนดทิศทางว่าจะวิ่งไปทางไหน ตาก็มองๆไปก่อน ยังไม่ใช่ ระวัง ที่ต้องยกก้นขึ้นเตรียม และไม่ใช่ ไป ที่จะต้องวิ่งให้สุดแรง งั้นอยากหาวันเวลาที่กายใจจะสงบนะ แบบถ้าพวกไม่เคยฝึกใจจะต้องใช้คำว่า ระอุ แทนสงบ คือนึกถึงปล่องภูเขาไฟ คนที่เคยฝึกใจ วันนี้จะรู้สึกความสงบ แต่คนไม่เคยฝึก มันจะระอุๆ แต่ไม่เดือดดานแสดงออกมาภายนอกแค่นั้น วันที่ควรจะทำตัวทำใจให้ว่าง ก็ควรทำให้ว่าง โอเคไหม แปลว่า เลิกคิดมาก เลิกกระวนกระวาย เลิกทำแบบ งกๆ หันมาอยู่ในความพอดีของชีวิตบ้าง พลังห้าธาตุ 4 ตัว ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ล้วนแต่วิ่งๆเต้นๆทั้งนั้น ไวๆหน่อยก็ น้ำไฟ เนิบๆหน่อยก็ทองไม้ แต่ดินนี่แบบ อึนๆ หมึนๆ (ขออนุญาตใช้ภาษาเหนือ) พระก็เทศน์ๆๆ เราก็สาธุๆกันมาทุกครั้งเนาะ เวลาเราทำบุญ สีเลนะสุคติงยันติ สีเลนะโภคะสัมปทา….ฯ คือ โยมเอ๋ย ถ้าโยมอยากมีความสุข ให้รักษาศีลนะ ถ้าโยมอยากมีโภคทรัพย์มากก็ให้รักษาศีลนะ มีพระไหนสวดบ้าง โยมถ้าอยากรวยให้หาฤกษ์วันดินเยอะๆ ไหว้ขอพรนะ มีไหม ตกลงนับถือศาสนาพุทธกันหรือเปล่ามิทราบ ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อบุญบาปนี้ หมดสิทธิแม้แต่จะเป็นเทวดา หรือจะได้เกิดมาเป็นคนอีกรอบนะบอกให้นะ นู่นหละ สัตว์ เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ตกลงถ้าวันนี้ใครเชื่อ ก็ลงหลุม ลงดินละนะขอรับ แต่อย่าว่าแค่วันนี้เลย ใครเชื่อว่า ไหว้อะไรแล้วรวย แค่นี้ก็ไปซะละ ขอยืนไว้อาลัยให้กับ อวิชชา สามวินาที ฮ่าๆอวิชชาปัจจะยา สังขาราเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมีสังขาระปัจจะยา วิญญานังเพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมีวิญญาณะปัจจะยา นามะรูปังเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมีนามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนังเพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมีสะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโสเพราะสฬายตนเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมีผัสสะปัจจะยา เวทนาเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมีเวทะนายะปัจจะยา ตัณหาเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมีตัณหาปัจจะยา อุปาทานังเพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมีอุปาทานะปัจจะยา ภะโวเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมีภะวะปัจจะยา ชาติเพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมีชาติปัจจะยา ชะรามะระณังเพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมีโสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อมเอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติการเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
พูดง่ายๆว่า มีอวิชชา เราก็มาเกิดมาเวียนว่ายกันใหม่นะจ๊ะ แต่ว่ายในโลกแห่งความเป็น คน หรือ เป็นสัตว์ ก็ไม่แน่ใจหละทีนี้ แล้วแต่บุญบาป
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ขอฝากไว้ สาธุ เจริญธรรม
Comments