top of page
รูปภาพนักเขียนหมอซินแส

หลิวป๋อเวิน ยอดกุนซือแห่งราชวงศ์หมิง

หลิวป๋อเวิน ยอดกุนซือแห่งราชวงศ์หมิง

คนเราในสังคม มีทั้งคนดีและไม่ดี คนเก่งเชี่ยวชาญและคนไม่เก่ง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน คำว่า หมอดูก็ดี นักโหราศาสตร์ก็ดี โหรก็ดี ล้วนแต่เป็นคำเรียกขาน ผู้ซึ่งใช้วิขาพยากรณ์ศาสตร์ต่างๆ ทำนายชะตาชีวิตคน ทั้งนี้ตามลำดับเกียรติในทางสังคม หรือการยกย่องตนเองของผู้เรียกนั้น ในประวัติศาสตร์จีน ก็มีนักโหราศาสตร์มากมาย บ้างเป็นขุนนาง บ้างเป็นบัณฑิต บ้างทำงานในรั้วในวัง บ้างก็รับดูดวงข้างถนนหนทาง แตกต่างกันไปตามวิชาความรู้และโอกาสชีวิต หนึ่งในกุนซือคนสำคัญๆที่เรามักนิยมยกย่องกันก็คือ ขงเบ้ง จากเรื่องราวของ สามก๊ก (ภาควรรณกรรม) หมายความว่า สามก๊กที่อ่านๆหรือแปลกันอยู่นี้ เป็นวรรณกรรม ไม่ใช่พงศาวดารล้วนๆ พูดก็คือว่า มีการแต่งเติมปรับเพิ่มสีสันเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นการทำนายหมอกลงจัด แล้วเอาหุ่นฟางใส่เรือ ฝ่ายโจโฉเข้าใจผิดยิงธนูมาปัก ขงเบ้งเลยได้ธนูไปใช้ฟรีๆเป็นแสนดอกในเวลาวันเดียว เป็นผู้คิดค้นการทำโคมลอย ให้แสงสว่างยามทำศึกตอนกลางคืน จนคนจีนเรียกโคมลอยว่า โคมขงเบ้ง(孔明灯) และประดิษฐ์ธนูกล(连弩) คล้ายๆปืนกล คือยิงได้ต่อเนื่อง ตลอดจน รถจักรกลโค ในหนังเรียกโคยนตร์(木牛流马) ซึ่งมีกลไกสามารถขนส่งเสบียงสรรพวุธแล้วลวงล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเอาไปใช้ ต่อมาขงเบ้งก็ปรับแกนสลักข้างในจักรกล ทำให้โคนั้น หยุดเคลื่อนที่ได้ ช่วงชิงเสบียงมาได้ หรือ ตอนดีดพิณในเมืองร้างว่างเปล่าทหาร ที่กล่าวว่า ทัพฝ่ายตรงข้ามยำเกรงว่าในเมืองจะมีทหารเยอะมาก จนไม่กล้าเข้าตีเอาชัย ขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง ดูเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิคุณวิเศษภายใต้การมีวิชาการทำนายทายทักที่แม่นยำจนกระทั่งดูดาวได้ว่า อายุขัยตนจะสิ้น สุดท้ายพยามทำพิธีต่ออายุ สืบชะตา แต่ด้วยผลกรรม พิธีมีเหตุขัดข้องกลางคันไม่สามารถประกอบพิธีได้สำเร็จ เพราะห้ามแล้วห้ามอีกไม่ให้ใครเข้าไปใกล้บริเวณพิธี แต่จู่ๆก็มีทหารโผล่เข้ามาจะแจ้งข่าว ตะเกียงดับ เท่านั้นหละ ขงเบ้งรู้ชะตาตัวเองเลย กระนั้น ขงเบ้งก็คือผู้ที่ได้รับยกย่องว่า ทำดีที่สุดแล้วจวบสิ้นลมหายใจ(鞠躬尽瘁、死而后已)

ทีนี้ น่าสนใจคือว่า ยุคต่อๆมาไม่ปรากฎว่ามีการยกย่องกุนซือคนไหน เทียบเท่าขงเบ้ง จะมีก็แต่ท่าน หลิวป๋อเวิน ท่านนี้หละ ถูกยกว่าเป็นยอดกุนซือเทียบชั้นขงเบ้งได้ ปรากฎเป็นสำนวนที่ชาวบ้านเล่าขานกันว่า 诸葛武侯在世 แปลว่า ขงเบ้งกลับชาติมาเกิด

ความน่าสนใจอยู่ที่ การได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลสุดยอดแห่งวิชาการพยากรณ์เหมือนกัน และจุดจบของชีวิตก็คล้ายๆกัน คือ ไม่อาจใช้วิชายื้อกรรม หรือ หนีกรรม ได้พ้น

หลิวจี(刘基) หรือก็คือ หลิวป๋อเวิน(刘伯温) ท่านเป็นขุนนาง สมัยนี้ก็เทียบชั้น รัฐมนตรี คนสำคัญในยุคก่อตั้งราชวงศ์หมิงของจีน เป็นคนสำคัญในการช่วยฮ่องเต้ จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงขึ้นครองบัลลังก์ ในตำนานเล่าขานของจีน หลิวป๋อเวิน คือบุคคลผู้มีอำนาจวิเศษดุจเทวดา เล่าลือกันว่า ท่านมีวิชาคำนวนพยากรณ์ที่แม่นยำ ตีความ อธิบายได้ชัดเจนดุจดั่งเทวดา มีอิทธิฤทธิ์สามารถล่วงรู้อดีตย้อนไป ห้าร้อยปี ทำนายอนาคตได้ยาว ห้าร้อยปี ตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับ หลิวป๋อเวิน บอกว่าท่านเชี่ยวชาญทั้งบนและล่าง ไม่ใช่หวยนะ แต่เป็นความเชี่ยวชาญใน ดาราศาสตร์ เทหวัตถุต่างๆบนท้องฟ้า และยังเชี่ยวชาญใน ภูมิศาสตร์ ทำเล ชัยภูมิ คนจีนว่า 上知天文 下知地理

บันทึกในตำราประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง(明史) กล่าวว่า หลิวป๋อเวิน มีเคราโค้งยาว(虬髯) โครงร่างใหญ่ ลักษณะน่าเกรงขาม(貌修伟) ดูเป็นผู้มีความรู้มีบารมีและสูงศักดิ์(焿慨有大节) ซึ่งปรากฎภาพของท่านในภาพวาดโบราณ(刘基画像) ว่าสวมหมวกราชการทรงเหลี่ยม สวมชุดขุนนางสีแดง ทั้งสองมือถือ หู (笏 เครื่องประกอบการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ของขุนนางจีนชั้นสูงโบราณ มักทำด้วยหยกหรืองา ภาษาอังกฤษแปลว่า tablet) แปลกดีนะถ้าจะแปลว่า ท่านหลิวป๋อเวิน ถือ แทปเลต ในภาพท่านนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ(太师椅 คล้ายๆตำแหน่งองคมนตรี)

ตำนานเล่าลือเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของท่าน หลิวป๋อเวิน มีมากมาย เล่าสืบทอดกันมา จนมีคำกล่าวว่า บัญชาสามแผ่นดินท่านขงเบ้ง ก่อร่างสร้างแผ่นดินท่านหลิวป๋อเวิน (三分天下诸葛亮 一統江山刘伯温)

ตำนานหนึ่งว่า หลังจูหยวนจางยกทัพลงแดนใต้ ได้ทราบข่าวว่าในละแวกเมืองจินฮว๋า(金华) กับชู่โจว(处州) มีผู้วิเศษนามเลื่องลือว่า หลิวป๋อเวิน อยู่ เลยคิดอยากจะไปขอคำปรึกษาและชวนมาร่วมสร้างบ้านเมือง ปกครองใต้หล้า ในตำราประวัติศาสตร์จีน(史书) บันทึกไว้ว่า เมื่อจูหยวนจางได้เจอหลิวป๋อเวินแล้ว รู้สึกว่าเป็นผู้มีวิทยาคมสูง(神采飞逸) อัธยาศัยเคร่งขรึมหนักแน่น(性格刚毅) มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้า(抱负不凡) เจอครั้งแรกก็ตะลึงพรึงเพริศ รักเลยทีเดียวว่างั้น คนนี้ใช่เลย รีบทำความเคารพคำนับเป็นกุนซือ แต่ในใจก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งถึงคุณวิเศษของหลิวป๋อเวิน

คศ 1368 ในเช้าวันหนึ่ง จูหยวนจางอยู่ในตำหนักกำลังนั่งกินเซาปิ่ง(ขนมเปี๊ยะ) มีรายงานว่า หลิวป่อเวิน ขอเข้าเฝ้า จูหยวนจางเลยได้โอกาสขอลองวิชาอาจารย์ตัวเองสักครั้ง โดยกัดเซาปิ่งหนึ่งคำแล้วเอาถ้วยครอบไว้ เมื่อหลิวป๋อเวินมา ได้ถามว่า ท่านอาจารย์ลองทายซิว่า อะไรอยู่ในถ้วยเอ่ย หลิวป๋อเวินตอบเป็นทำนองคำกลอนว่า ดุจครึ่งตะวันครึ่งจันทรา อัยหยาที่แท้โดนมังกรกัดเข้าหนึ่งคำ (半似日兮半似月 曾被金龙咬一缺) จากการทำนายของกระหม่อม ใต้ถ้วยนั้นคือ เซาปิ่งเป็นแน่แท้ จูหยวนจางได้ฟังก็ตกกระใจในความแม่น ตะลึงจนพูดว่า แผ่นดินของฉันมีคนเช่นท่าน หลิวป๋อเวิน เป็นก๊กซือ(国师 ราชครู) นับเป็นบุญของแผ่นดินและทวยราษฎร์โดยแท้ จากนั้น จูหยวนจาง ได้ขอคำทำนายอนาคตของแผ่นดินเนืองๆ หลิวป๋อเวินก็ใจดีตอบให้ไม่เว้น จนมีตำราลึกลับที่สืบทอดกันออกมา ว่ากันว่าเป็นคำทำนายของหลิวป๋อเวิน ชื่อว่า กลอนกลบทเซาปิ่ง(烧饼歌) แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าจริง จูหยวนจางศรัทธาหลิวป๋อเวินเรื่อยมา

ต่อมามีเหตุการณ์ 罪己 คือการสำนักตนและพิจารณาตนเองของฮ่องเต้ จูหยวนจาง ก็อบรมเป็นที่ปรึกษาให้เรื่อยมาเพื่อความวัฒนาของบ้านเมือง เอาหละทีนี้ไม่นาน บ้านเมืองจู่ๆเกิดภัยแล้ง ร้อนกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง หลิวป๋อเวินกราบทูลว่า ขอให้มีการตรวจสอบทบทวนการกระทำความผิดและประพฤติมิชอบที่ได้รับความอยุติธรรมขึ้น(冤假错案) ฝนก็จะตกลงมา ไม่นานหลังจากทำตามคำแนะนำและเปลี่ยนคำพิพากษาใหม่ ฝนจากไหนไม่รู้ก็กระหน่ำเทลงมา

ข้างบนที่เล่านี้คือ “ตำนาน” (คือมีการปรุงแต่งเรื่องให้ออกรสออกชาติ) ในเอกสารทางวิชาการตามประวัติศาสตร์ หลิวป๋อเวิน มีตำแหน่งเป็นกุนซือที่เลิศ เป็นนักวิชาการชั้นยอด ไม่มีอะไรเป็นคุณวิเศษเหมือนตำนาน ชาวบ้านพากันให้ความเคารพเพราะเขาเป็นชนชั้นไฮโซที่ถ่อมตนทำตัวสมถะเรียบง่าย เฉลียวฉลาดสุดยอด อ่านหนังสือขอแค่ผ่านตาหนเดียวก็จำได้ โดยเฉพาะตำราชุนชิว(春秋) เด็กๆวัยเดียวกันให้ท่องจำยังยากเลย แต่หลิวป๋อเวินนอกจากจำได้ ยังสามารถอธิบายเข้าใจความหมายได้ด้วย เป็นเด็กที่ ครูทึ่ง มากๆ อายุแค่ 12 ปีก็สามารถสอบได้ขั้นซิ่วไฉ(秀才 คล้ายๆกับสอบระดับประเทศ หรือสอบเข้ารับราชการได้) สำหรับความสามารถในการทำนายของ หลิวป๋อเวินนั้น ในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง (明史) กล่าวว่า หลิวป๋อเวินนั้น ล่วงรู้ความลับสรรพสิ่ง ทำนายทายทักได้แม่นยำ (佐定天下 料事如神) อันที่จริงวิชาในการทำนายนี้ไม่ใช่วิชาลึกลับ(玄学)อะไร แต่คือวิชาเฉพาะที่จีนโบราณเรียกว่า ซู่แสว๋(数学) ซู่ หมายความว่า การเป็นไป เคลื่อนไป แปรสภาพไปของสรรพสิ่งนับตั้งแต่เริ่มจนสูญสลาย หลี่ หมายความว่า การศึกษาทางดำเนินไปแห่ง ฟ้า ดิน กาลเวลา สถานที่ ชะตาชีวิตคน คนจีนโบราณเชื่อว่าหากศึกษาใน ซู่หลี่ให้ท่องแท้ จะสามารถเข้าใจกฎของธรรมชาติได้ ผลพลอยได้ก็คือ เข้าใจอดีต ล่วงรู้อนาคต พยากรณ์ออกมาได้อย่างแม่นยำ แต่การเข้าถึง เข้าใจแก่นได้นั้นยากมาก วิชานี้เป็นที่ยกย่องว่าเป็นวิชาชั้นสูง

เอาหละทีนี้ ก็เกิดการตั้งคำถามของคนขี้สงสัยว่า เอ๊ะ ในเมื่อท่านหลิวป๋อเวิน ได้รับการนับถือว่า แม่นสุดๆ ทำนายอดีตล่วงรู้อนาคตได้ แล้วดวงชะตาหนะ ดวงชะตาของท่านหลิวป๋อเวินหนะ เจ้าตัวรู้บ้างหรือไม่ ท่านสามารถรู้เคราะห์ล่วงหน้าและหลีกหนีพ้นไหม

ซู่หลี่ นั้น เป็นวิชาเพื่อทำความเข้าใจกฎของธรรมชาติ และหลักการของธรรมชาติเท่านั้น ต่อให้ทำนายแม่นยำได้ขนาดไหนก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้นแต่หลิวป๋อเวินก็เชื่อว่าแบบนี้ เมื่อบ้านเมือเข้าที่เข้าทางแล้ว หลิวป๋อเวิน ก็เกษียณตัวเอง กราบทูลลาฮ่องเต้จูหยวนจางกลับบ้านเกิดที่มณฑลเจ้อเจียงไปทำเกษตร ไม่อยากแปลว่า หลิวป๋อเวิน ไปทำนา เลย ดูแปลกๆ ตอนจะกลับบ้านเก่า ความเป็นกวีก็เริ่มออกละ ท่านหลิวป๋อเวินร่ายกลอนออกมาว่า 买条黄牛学种田,结间茅屋傍林泉。因思老去无多日,且向山中过几年 为吏为官皆是梦,能诗能酒总神仙 แปลว่า เอิงเงย ชะเอิงเง่ย ข้าจะกลับบ้านเก่าไปซื้อกระบือมาทำนา อยู่บ้านกระท่อมกลางป่า ณ ริมน้ำ ก็หวนคิดถึงเรื่องเก่าที่ผ่านมาทุกโมงยาม ขุนน้ำขุนนางยศศักดิ์ล้วนแค่ฝัน มีแรงร่ายกลอนกวีร้ำสุราก็ถึงสวรรค์ฟากฟ้าแดนไกล สุขใกล้เซียน อะแฮ่ม ละไม่ใช่ว่าอ่านกลอนนี้จบ พากันไปกินเหล้าเด้อ ผิดศีลห้านะครับ ณ แดนดินถิ่นเกิดหลิวป๋อเวินใช้ชีวิตบั้นปลาย ปรากฎศาลเจ้าและรูปเคารพมากมาย สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ จารึกของฮ่องเต้จูหยวนจางที่ประทานสมัญญานามให้ท่าน หลิวป๋อเวินว่า 诚意伯 ผู้ทรงสันโดษและจริงใจ

เมื่อกลับไปบ้านเกิด ตามประสานักวิชาการ ก็ได้เขียนตำรา 郁离子 ตำรา 犁眉公集 เป็นหนึ่งในสามยอดตำราแห่งยุคราชวงศ์หมิงตอนต้น

คศ.1375 หลิวป๋อเวินได้เดินทางจากบ้านเกิดมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้จูหยวนจาง ณ การประชุมออกว่าราชการท้องพระโรงตอนเช้าพอดี ไม่นานจากนั้น ราวๆแค่ ยี่สิบวัน ท่านหลิวป๋อเวินก็ป่วยเป็นไข้หวัด ฮ่องเต้จูหยวนจางจึ่งมีรับสั่งให้หมอหลวงไปรักษา กินยาแล้วอาการนอกจากจะไม่ดีขึ้น ท้องไส้ยังปั่นป่วนกว่าเดิม ทรมานสุดชีวิต “รึว่ามีคนคิดจะลอบทำร้ายข้า” หลิวป๋อเวินแว้ปคิดถึงชื่อ หูเหวยยง (胡维庸) ขึ้นมาทันทีทันใด หูเหวยยงคือขุนนางชั้นสูงตำแหน่งเทียบชั้น นายกรัฐมนตรีรัชสมัยฮ่องเต้จูหยวนจาง เพราะหลังจากที่หลิวป๋อเวินขอลาออกจากราชการ หูเหวยยง ได้กราบทูลฮ่องเต้ว่า ที่ๆหลิวป๋อเวินไปอยู่หนะ มีหวังชี่ (王气 ปราณแห่งอ๋อง) หลิวป๋อเวิน คิดจะฝังศพตัวเองไว้ ณ ที่นั้น เพื่อให้ได้ปราณแห่งอ๋อง แสดงถึงความไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ ฮ่องเต้จูหยวนจางได้ฟังก็ไม่เชื่อหรอก แต่ก็ยังแคลงใจนิดๆ ก็เลยเกิดเรื่องละทีนี้ ในปีหงอู่ที่แปด (洪武八年) หลิวป๋อเวินถูกเรียกตัวเข้าวังอีกครั้ง ครานี้เอง ท่านคิดลองใจฮ่องเต้จึงกราบทูลความจริงว่า หมอหลวงที่หูเหวยยงนำมาให้หนะ นอกจากจ่ายยาละโรคไม่หายจนตัวเองต้องป่วยจนถึงตอนนี้แล้ว ยังทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมอีก ฮ่องเต้รับฟังแล้วแค่สั่งการให้หมอหลวงดูแลดีๆหน่อย หลิวป๋อเวินได้ฟังถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว น้อยใจหนะหละ ไม่นานฮ่องเต้ก็ให้คนส่งหลิวป๋อเวินกลับบ้าน ญาติๆหลิวป๋อเวินพยายามทุกวิถีทางหาหมอดียาดีมารักษาอาการก็ไม่ทุเลาขึ้น หลิวป๋อเวินทราบวาระสุดท้ายของชีวิตตัวเองใกล้จะมาถึงแล้วหละอีกไม่กี่วันเป็นแน่แท้ เลยเรียกลูกทั้งสองมาสั่งเสียว่า

…”นับแต่นี้ไปภายหน้า อย่าได้ให้ลูกหลานศึกษาวิชาซู่หลี่เด็ดขาด”…

หลิวป๋อเวิน ประสบความสำเร็จก็เพราะวิชาการพยากรณ์ ซู่หลี่ ช่วงบั้นปลายก็มาประสบเคราะห์กรรมเพราะวิชาพยากรณ์ ซู่หลี่ จุดสุดท้ายของชีวิตไม่ต่างอะไรกับ ขงเบ้งเลย

พิมพ์เล่ามาเสียยาว สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ วิชาพยากรณ์ไม่สามารถเอาชนะกรรมได้หรอกครับ วิบากที่เราเคยทำย่อมส่งผลตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ แต่เราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกรรมใหม่ในชะตาชีวิตเราได้ เริ่มต้นจากการรักษาศีลเป็นบาทฐาน อยากให้ได้รู้ จุดจบของเรื่องราว บางทีเราไปอ่านหนังสือ ดูหนัง เราเห็นแต่ชีวิตสมัยรุ่งเรือง ไม่เห็นชีวิตเขาในช่วงตกอับก็หลงยกย่องว่าประเสริฐ จริงๆแล้ว ชีวิตคนเราต้องการอะไร เกิดมาทำไม และกำลังดำเนินไปเพื่ออะไร ว่างๆท่านลองพิจารณา


สดุดีหลิวป๋อเวินและขงเบ้งมา ณ ที่นี้


ซินแสหลัว LINE : @chinesehoro

ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

ลูกตุ้มโมเมนตั้ม ช่วยในเรื่องของฮวงจุ้ยในการอ่านหนังสือได้

จากคำถามที่มีผู้ถามมาว่า ขออนุญาตสอบถามเกี่ยวกับ ลูกตุ้มโมเมนตั้ม นะคะ คือดิฉันไปได้ยินมาว่า สามารถช่วยในเรื่องของฮวงจุ้ยในการอ่านหนังส...

เลขมงคลประจำยุคนี้

พูดตรงๆนะ ผมไม่ใช่คนเรียบร้อยผ้าพับไว้ ผมไปเห็นบางคนบางท่านผมก็ยังนึกดีใจ ชื่นชม และบางทีก็ละอายใจ ว่า เขาเรียบร้อย หรือ...

Comments


bottom of page