top of page
รูปภาพนักเขียนหมอซินแส

เลขมงคลประจำยุคนี้

พูดตรงๆนะ ผมไม่ใช่คนเรียบร้อยผ้าพับไว้ ผมไปเห็นบางคนบางท่านผมก็ยังนึกดีใจ ชื่นชม และบางทีก็ละอายใจ ว่า เขาเรียบร้อย หรือ เขาศีลเคร่งกว่าเราอีกนะนี้นะ ตรงนี้หละที่ทำให้ผมรู้สึกขึ้น ได้ว่า เรายังไม่สมควรจะทำอะไรๆ อันนี้ อันนั้นมากมาย ก็กลายเป็นว่า ผมรักษาความปกติเรียบร้อยของกายใจผมแบบไหนกันละนี่ ตกลงอันแบบนี้เรียกว่า รักษาไหม และผมได้คำตอบแล้วเมื่อคืนหละนะ

ชีวิตผมโชคดีที่เวลาอยากได้คำตอบอะไร ครูอะไร หนังสืออะไร จะมาให้แบบที่ ผมไปถามพระท่านทั้งหลายท่านก็ได้เตือนสติผมว่า ที่ผมได้นั้นหนะ ธรรมดามากเลยนะ ถ้าเทียบกับสมัยพุทธกาล วลีนี้ได้ยินแล้ว จบทุกคำถามไปได้แบบง่ายๆ จริงครับ ในสมัยที่คนเรายังเหาะได้ พูดภาษาสัตว์ได้ อ่านใจคนได้ ติดต่อกันด้วยอำนาจโทรจิตได้ ที่ผมได้ความรู้หรือหนังสือ ฯ มานั้น เทียบไม่ได้เลยและแสนจะธรรมดามากๆ ฟังแล้วสบายใจจัง

พูดมาถึงตรงนี้เพื่อบอกว่า จริงๆเริ่มแรกชีวิตผมไม่ได้ปรารถนาธรรมะหรือนิพพานหลุดพ้นอะไรทั้งนั้นเลยนะ แต่พอมาในยุคนี้ผมก็ขอบอกกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านจะเกิดมาในยุคแบบนี้แต่ไม่ปรารถนาทางก้าวหน้าทางนี้บ้างเลยนะครับ จะเสียเปล่ารุนแรงกว่ายุคก่อนๆมากนักหละ เพราะอะไร เพราะทางแคบลงมากที่ใครสักคนจะสร้างตัวให้รวยแบบคนในยุคเสื่อผืนหมอนใบ หรือจะมั่นคงมั่งคั่งในการเงินนั้นได้ แล้วเกิดอะไรขึ้นหละ ทฤษฎีว่า เงินทองเหมือนสายน้ำไม่เหือดหายไปจากโลก แล้วทำไมทำแบบนั้นไม่ได้ ก็ไม่เหือดหายจริงนะครับ แต่ไม่นิ่ง ความไม่นิ่งเหมือนลมพัดในอากาศ สามารถเข้ามาในมือเราแล้วออกจากมือเราไปได้แบบง่ายๆนี้หละ แปลง่ายๆว่าอะไร แปลง่ายๆว่า ถ้ายังมุ่งหาเงิน เก็บสะสมเงิน แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสบายในตอนอายุเยอะๆแล้ว เพราะนอกจากค่าเงินในมือท่านจะลด ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้นสวนทางกันแล้ว ภัยธรรมชาติต่างๆ กับสงครามที่ต่อให้ไม่โดนชาติเรา ไม่ต้องนับว่าที่โดนบ้างหรือเฉียดๆอีกไม่ถ้วน จะทำให้ท่านต้องดิ้นรนหาเงินเข้าไปอีก เหมือนกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ หรือฝุ่นพิษ ที่ท่านแทบจะไม่เห็นการแก้ปัญหาระยะยาวอะไร ทั้งๆที่ น้ำสะอาด ผักดีๆ ผลไม้ดีๆ อาหารดีๆ ถ้าจะเอาจากคนไทยผลิต ต้องรักษาแดนดินภาคเหนือนี้เอาไว้ เท่ากับว่า ไม่ช้านาน ข้าวปลาอาหารก็จะแพงขึ้นไปโดยปริยาย ท่านจะได้ทานอาหารปรุงรสที่ไม่ได้มีคุณค่าของสิ่งนั้นที่ผมบอกมา สี่ห้าปีแล้วว่า งวดหน้าท่านได้กลิ่นกระเพรา กระเทียม ไม่ได้แปลว่า ในนั้นมี กระเทียมจริงๆ แปลว่า สารอาหารตามธรรมชาติที่ควรได้ของท่านจะหายไปทันที แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดเกลือ ขาดแร่ หรือขาดธาตุ ท่านจะได้มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่าลืมว่า คำว่าเกลือแร่ หมายถึง สิ่งที่ร่างกายผลิตได้เอง หรือ สิ่งที่ร่างกายเรารับเอาไว้ได้ ดูดซึมได้ ไม่ได้แปลว่า ท่านไปทุบก้อนเกลือมากินจะได้ เกลือแร่ ไปทุบเหล็กมาเคี้ยวจะได้ธาตุเหล็ก เท่ากับว่า ท่านทานผงอะไรบางอย่างเข้าไป ไม่ได้แปลว่าทั้งหมดจะกลายเป็นของมีประโยชน์ หรือบางทีทานสิ่งหนึ่งลงไปเช่นผลไม้ที่มีความหวาน ร่างกายรับเข้าไปแล้วอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่แปรไปเป็นเกลือแร่ได้ มีความเค็มนิดๆนะ แต่น้อยนิดมากจนแทบเรียกว่าจืดหรือไม่มีรส หรืออาจมีรสอื่นแต่มีความเป็น แร่ธาตุในนั้นตามแต่ว่า ธาตุตั้งต้นเป็นอะไร ร่างกายจะแปรเป็นอะไรเมื่อได้รับ แล้วบริโภคดูดซึมหรือขับถ่ายออกไปได้แค่ไหน

แบบนี้เมื่อเรามาขยายภาพเป็นโลก หรือสภาพการเงินการธนาคาร ก็จะพบว่า การฝากเงินท่านเข้าไปไว้ในระบบไม่ได้หมายความว่า ท่านมีเงินเท่านั้นเสมอไป ที่ดินที่ท่านเห็นเป็นผืนก็เช่นเดียวกัน เพราะสภาพราคาที่ท่านประเมินไว้อาจจะลดลงเมื่อมีภัยต่างๆทางธรรมชาติหรือคนก่อขึ้น นับรวมการตัดถนนใหม่ที่ทำให้ถนนอีกหลายสายร้าง หรือการสร้างตลาดใหม่ที่ทำให้ทั้งตลาดและหมู่บ้านร้างลงไป สะพานข้ามแยกหลายที่แทบจะไม่ได้ใช้ รถไฟฟ้าหลายสถานีจะเป็นดั่งศาลาริมทางหลวงที่ท่านจะเห็นว่า หลายศาลาท่านขับผ่านด้วยความรู้สึกว่า สร้างไว้ทำไมตรงนี้ เวลาจะผ่านไปเร็วมากเพราะอะไรๆที่เคยเป็นจะไม่เป็นเช่นเดิม ราคาที่ดินก็ยังจะสามารถขึ้นๆลงๆได้ตามความเก่งกาจของใครสักคนที่อาจจะย้ายถิ่นมาอยู่ แล้วอาจจะลดลงอย่างน่าตกใจหากคุณไม่ใช่พวกเดียวกับเขา ต่อให้เขาจะโปรยคำหวานว่าจะเข้ามาพัฒนาที่ทั้งผืนให้เจริญก็ตาม ตรงนี้ไม่อยากให้มองว่า ธุรกิจใครเขาเห็นแก่ได้ หรือเอาความฉลาดและอำนาจมารังแกคนอื่นที่ด้อยกว่า แต่อยากให้มองด้วยจิตเมตตาส่วนหนึ่งด้วยว่า พวกเขาก็เดือดร้อนมากๆเหมือนกัน ที่ทำทีท่าดูเหมือนกินหรูอยู่สบายนั้นกำลังทานยานอนหลับ ยาโรคหัวใจ หรือ มะเร็ง หรือต่อให้ไม่ทานอะไรก็อยู่ในหอคอยที่ปัจจัยสี่อาจจะหรูหรา แต่ว่าไม่อยู่ในสภาพมั่งคั่งอะไรอีกต่อไป เนื่องจากว่าลูกหลานก็ดี งานที่เขาเคยสร้างไว้ก็ดี เสี่ยงจะถูกรุกรานหรือล้มลงไปได้ง่ายๆ ยังไม่รวมกับที่ต้องแบกรับรั้วของดินแดนที่ต้องทำให้เพื่อเขาจะได้ด้วยและพวกเราจะได้ด้วย พูดง่ายๆว่า อะไรๆที่ดูทำออกมาเพื่อค้าหากำไรหรือเอาเปรียบ ส่วนหนึ่งไม่กี่มากน้อยก็ทำเพื่อภาพรวมเหล่านั้น พูดแบบนี้วางเมตตาจิตให้ยากนะ แต่อยากให้ลองคิดทำ เพราะท่านแทบจะไม่มีทางไปค้าแข่งอะไรกับเขาได้ จะขุ่นมัวไปใย สู้หันมาให้กำลังใจตนกำลังใจคนอื่นเสียดีกว่า นั้นเป็นต้นทางหนึ่งของยุคนี้ที่อยากบอกว่า ถ้าท่านไม่เอาธรรมะเลย ท่านแทบจะไม่ได้อะไร และแทบจะไม่เหลืออะไร เพราะทุกอย่างจะพร่องลงอย่างน่าใจหาย เหมือนการเล่นการพนันไม่เหมือนสะสมทรัพย์สิน ท่านลองไปดู หินสี หรือ แก้วสวยๆ อาจจะราคาแพงกว่าเพชรพลอยในสมัยท่านเสียแล้ว หากว่าศิลปินดาราหรือใครสักคนช่วยกันโหม อย่างที่เราเห็นออกมาเป็นคำว่านำโชคในยุคนี้แล้วยุคต่อไปเล่า เมื่อคนเรานำโชคจนเฟ้อแล้ว คนเราจะนำอะไรอีก ก็นำสุขภาพต่อมา นำเรื่องการลงทุนต่อมา วนไปแบบนี้หละ โชค กับ ลงทุนแบบวิทยาศาสตร์ สลับกัน แต่วงรอบการสลับแทนที่จะยาวนานนับสิบๆปีเหมือนยุคก่อนๆ กลับจะสั้นลง แล้วกลับตาลปัตรไปบ่อยๆมากขึ้น เป็นไปตามพลวัตรใจคนที่ด่วนที่เร็วขึ้นและภัยธรรมชาติ ส่งผลให้อะไรที่ควรเป็นที่นิยมหรือหากินได้นับสิบๆปีนั้น ประเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนไปปรับมา ที่ๆเคยมีคนเช่ายาว ๆเดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก ราคาที่ดินจะไม่ผันผวนหรือตกลงไปได้อย่างไร ภาษีที่เรียกเก็บมากขึ้นจากที่ดินนั้นไม่ได้สะท้อนว่า ที่ดินจะมั่นคง แต่สะท้อนว่าคนจะเอาที่ดินไปใช้แบบไม่ค่อยมีค่ามากขึ้น คุณก็จะพากันเอาไปปลูกกล้วย ปลูกป่า แทนที่จะมอบมันให้คนที่คู่ควร หรือลูกหลานที่พอมีกำลังทางปัญญา หรือ ผมใช้คำว่าคู่ควรเนื่องจากว่า ระบบทุนนิยมจะงอกเงยได้ ต้องทำลายความไว้วางใจของปัจเจกชนทิ้งให้มาก ยิ่งมาก ระบบยิ่งโต เหมือนที่สมัยก่อนเราเคยกินขนมไม่ต้องซีลถุง สมัยนี้เรากล้าไหม น้ำดื่มสมัยก่อนเคยต้องใส่ขวดปิดฝาแล้วขายราคาแพงเท่าผัก ขนาดนี้ไหม ถ้าท่านอยากรู้อะไรแพงถูกท่านลองคำนวนที่น้ำหนักเท่าๆกันดู เช่น น้ำดื่มขนาด 1 กิโลกรัม ตอนนี้ราคาขายปาเข้าไปแล้วที่ 20 บาทเห็นจะได้ เท่ากับ ท่านซื้อผักได้กำนึงหรือซื้อข้าวสารได้ในปริมาณที่ทานอิ่มท้องเลย อะไรที่เพิ่มมาจากน้ำเปล่าเล่า ก็ความแสดงให้ท่านเห็นว่าใหม่และสะอาดไม่ใช้ร่วมกับใคร บางบ้านลูกหลานไม่ได้เก่งหรือมีโอกาสขนาดนั้น หากท่านไม่หาคนไว้วางใจเอง สักวันไม่ช้านาน ระบบเทคโนโลยีก็จะสร้าง ระบบระดมพลคนน่าไว้ใจเอามาให้ท่านเลือกใช้เลือกหา ที่ดูน่าเชื่อถือ เหมือนที่สมัยหนึ่งท่านคงไม่คิดหรอกว่าจะมีร้านค้าที่ปล่อยให้คนหยิบของเองตามใจ แล้วค่อยรอคิดเงินเหมือนสมัยนี้ สมัยนั้นของทุกชิ้น ไม่เถ้าแก่ก็ลูกน้องต้องเป็นคนหยิบให้ แล้วต่อมาไม่ถึงสิบปีตอนนี้ คนที่รอคิดเงินเช่นว่าในห้างนั้น ก็เปลี่ยนไปเป็นหุ่นยนต์เสียแล้ว ไม่ต้องจ้างแม้แต่คนคิดเงิน แล้วท่านคิดว่า การสร้างระบบระดมคนน่าไว้ใจให้มาบริหารสินทรัพย์ท่านไม่ใช่แค่ที่ดิน คือ เลือกคนแปลกหน้าสักคนมาเป็นคนดูแลนั้นจะไม่เกิดขึ้นหรือ ระบบคู่นอนชั่วคราวก็เกิดขึ้นแบบนี้ได้เหมือนกัน แล้วถ้าเกิดขึ้นจริง แสดงว่า ที่ดินก็ต่ำค่าลง พอๆกับ เรื่องบนเตียงที่ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความรักแล้วต่ำค่าลงจนเงินทองซื้อหาได้แบบนั้นหละ แล้วความมั่นคงจะหาได้มาแต่ไหน ขนาดว่าการดูแลรักษาที่ดินยังเป็นเงินเป็นทองทุกบาท แล้วทำไมผมจึงยกที่ดิน กับทองคำขึ้นมาเล่าบ่อยๆ ก็เพราะว่า สองสิ่งนี้เป็นไม้ตายสุดท้ายที่ใครจะเลือกสะสมทรัพย์สินในยามชรามาแต่ไหนแต่ไร ผมกำลังบอกท่านว่า หากจะคำนวณง่ายๆ ให้ท่านลบมูลค่า ที่ดิน และทองคำ ในมือท่านออกไปสัก 2 ใน 3 หากว่าท่านจะไม่ทำอะไรกับสิ่งนั้นให้งอกเงยเลย เท่ากับท่านจะได้ใช้มูลค่าเท่านั้นหละ ในอีก 20 ปี (ผมพูดใน พ.ศ.2567) แต่ถ้าเกินกว่านั้น เช่น ในยุคท่านอายุมากจริงๆ หรือลูกหลานท่านก็เข้าสู่วัยชราเบื้องต้น สิ่งของเช่นว่านั้นจะเหลือค่าแค่ เพียง 1 ใน 5 ไม่ขาดไม่เกินไปกว่านี้เลย ผมถึงเน้นย้ำเสมอว่า ยุคนี้เป็นยุคที่ควรลงทุนกับความรู้ เพราะที่จะทำให้มูลค่าที่ดินหรือทองคำท่านลดก็เพราะความไม่รู้ แต่ไม่ใช่ไม่รู้ในที่ดิน หรือเงินทอง คือความไม่รู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ ต่อไฟไม่ได้ ต่อน้ำไม่เป็น ปลูกผักปลูกข้าวไม่ได้ ปรุงอาหารไม่ถนัด ปรุงยาไม่เป็น ป่วยไข้เบื้องต้นดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่ได้นี้เกิดทั้งสองทางคือ ทำไม่ได้เพราะไม่รู้ กับรู้แต่ก็ไม่ทำอะไรมากพอที่จะพ้น คือทำ แต่ไม่ทำให้มากพอ จริงจังพอ หรือทำแบบสะเปะสะปะ ไม่มากเท่าที่จะพ้นหรือพยุงให้ผ่าน ท่านอ่านบทความผมแล้วอาจจะคิดว่า ทำไมเหมือนครอบครัวเราจัง ให้ท่านตกใจดังๆ เพราะจะมีคนอีกมากมายเกินร้อยครอบครัวที่หลังจากได้อ่านข้อความผมแล้วก็จะรู้สึกเช่นกัน นี้เรียกว่า สังคม เราไม่ได้ร่วมกันแค่ดินแดน แต่เราร่วมกาลเวลากันด้วย จึงไม่แปลกหรือน่าประหลาดใจเลยว่า ทำไมเรื่องที่เกิดกับอีกคนอีกบ้าน จะมาเกิดกับอีกบ้านได้เหมือนเป็นฝาแฝดกันก็ไม่ปาน

การนำพาตัวเองไปสู่การเรียนรู้ใหม่ๆ ท่านจะได้ งานใหม่ หรือความรู้แบบใหม่ แต่ที่สำคัญท่านจะได้กระบวนการในการรับรู้ใหม่ เหมือนอย่างที่ยกตัวอย่างแร่ธาตุ นอกจากท่านจะได้สารอาหาร ร่างกายของท่านจะได้การเรียนรู้ทันทีว่าจะจัดการกับการมีอาหาร หรือการจะต้องไปหาอาหารมาเพิ่มอย่างไร และนั่นเป็นทักษะการดำรงชีพที่สำคัญ รถยนต์ในอนาคตแทบจะไม่เหลือค่า เพราะจะเกิดยานยนตร์ชนิดใหม่ที่คนอาจจะเป็นผู้ควบคุมรถแบบวิธีใหม่ด้วยการมองและการฟังแทนการเอามือบังคับ ท่านอาจจะตกใจว่าเหลือเชื่อ จริงๆไม่เหลือเชื่อ เพราะรถใช้น้ำมันที่เราเรียกว่า ดีเซลนั้นก็มาจากชื่อของคนคิดค้น ยี่ห้อรถหลายคันก็มาจากชื่อคนคิดค้น เวลาพวกนี้ผ่านไปไม่ถึง 150 ปีเลย ตอนนี้ย้อนหลังไปไม่ถึง 100 ปี สิ่งที่เรียกว่า แอร์ในรถ กับ พวงมาลัยแบบใหม่ และเกียร์แบบใหม่ในยุคไม่ถึง 50 ปีก็เกิดจนท่านใช้กันอย่างเป็นสามัญ เกียร์หรือพวงมาลัยที่ท่านไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาได้โดยตรง เพราะทดรอบทดแรงของท่าน ไม่เหมือนกับรถโบราณ ท่านคิดว่าทุกครั้งที่ท่านหักเลี้ยว หรือ เร่งเครื่องเป็นคำสั่งจากท่านเสมอไปกระนั้นหรือ ระบบไฟฟ้าต่างๆมากมายในรถกำลังก่อเรื่องทั้งดีต่อท่านหรืออาจจะร้ายแบบไม่ตั้งใจต่อท่าน ที่ต่อให้ท่านนำไปซ่อมก็ไม่มีใครซ่อมให้ได้ในบางทีได้หมดจรด ค่าของรถจะลดลงไปด้วยการหาใครสักคนมาขับเอาได้ง่ายๆ แล้วยิ่งจะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นอาชีพคนได้ กลับกลายเป็นทำให้คนมีรายได้อาจจะมากกว่าอีกหลายอาชีพ คือ ขับรถรับส่ง รักษาความปลอดภัย ฯ สักวันหนึ่งรถจะไร้คนขับจริงไหม ขอบอกว่าจริงแต่นานมาก เพราะตราบใดที่ รถยังต้องอาศัยคนกู้เพื่อซื้อ กับ ต้องอาศัยคนดิ้นรนหาเงินเพื่อไปซ่อมหรือตรวจสภาพ รถไม่มีทางไร้คนขับได้โดยเร็วแน่นอน แต่ไม่ต้องห่วง การสร้างระบบเช่นว่าเพื่อให้ปราศจากคนก็ยังคงต้องดำเนินการต่อไป เพื่อให้เห็นว่า รถฉลาดพอที่ท่านจะนั่งได้แบบปลอดภัย เหมือนที่เวลาทำฉลากขวดน้ำดีๆ มีถ้อยคำมากๆ หรือรับรองจากองค์กรน่าเชื่อถือมากๆท่านก็จะเชื่อว่ากำลังทานน้ำที่มีประโยชน์ไม่สงสัยสักคำว่า ทานลงไปแล้ว เกลือแร่ได้แค่ไหน ร่างกายดูดซึมได้แค่ไหน ร้ายกว่านั้นคือคิดว่า น้ำเปล่า ยี่ห้อไหนๆก็เหมือนกัน แล้วคิดอีกว่า น้ำแร่มีประโยชน์กว่าน้ำเปล่า หรือทานแล้วจะแข็งแรงกว่าการทานน้ำเปล่าเสมอไป ขอบอกว่า ทานน้ำที่อุณหภูมิเหมาะสมช่วยให้แข็งแรงกว่าทานน้ำแร่เสียอีก คำว่าเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่า ใครที่ทานน้ำไม่เย็นเลย หรือทานน้ำอุ่นตลอดจะรอด เพราะเหมาะสมนั้นต้องดูร่างกายคนทาน สภาพอากาศ เวลาเช้าหรือเย็น และสภาพการทานว่าทานตอนทำงาน หลังทำงาน เริ่มทำงาน ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น แต่เมื่อท่านเหนื่อยจากการวิ่งมา ทานน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนไม่ได้ส่งผลดีเท่าทานน้ำสะอาดที่ใส่น้ำแข็งก้อนเล็กๆจิ๋วๆสักก้อนพอให้เย็นชื่นใจกว่าอุณหภูมิห้องมาสักนิด แต่มากไปก็ไม่ดีเช่นกัน คนสมัยนี้เป็นโรคปวดกันมาก ปวดนี้เป็นธาตุลม แปลว่า ท่านทานอะไรไม่สะท้อนสอบรับกับการเคลื่อนไหวเท่านั้น ที่ไม่ใช่แค่ปริมาณแต่หมายถึงท่าทางที่เรียกว่า อิริยาบถด้วย คือ นับนอน ยืน นั่ง เข้ากับ การเดิน ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ การเดิน หรือวิ่งเท่านั้น

ความรู้เป็นการลงทุนระยะยาวที่ดี กว่า ที่ดิน และทองคำ เพราะจะนำมาซึ่งมิตรภาพ มิตรดีๆสำคัญมากๆในยุคข้างหน้า เพราะจะทำให้ท่านเสียค่าความไม่รู้น้อย ได้รับกำลังใจที่อาจจะไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรือหาหมอก็หายในบางโรคได้ หรือช่วยเหลือกันและกันในการค้าขายหรือซื้อหาที่อาจจะไม่ใช่การรวมสมาคมเพื่อค้ากันแบบก่อนๆ แต่หมายถึง การแลกเปลี่ยนให้กันและกันแบบไม่ต้องใช้เงิน และหากท่านมองสิ่งเหล่านี้ ทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นบุญกุศล เมื่อเงินเป็นตัวกลางได้หายไปในหลายๆมิติ บุญก็งอกงามขึ้นได้หลายที่ เพราะทุกๆการแลกเปลี่ยนจะไม่เท่ากับแค่การค้า แต่จะเป็นการให้ หรือ ให้ทานไปด้วย ให้ทานซึ่งกันและกัน ท่านอาจจะสงสัยว่า ไม่มีเงินแล้วจะทำอะไรได้เล่า ทุกอย่างต้องซื้อนะ ขอบอกว่า ก็เป็นเช่นนั้น คนเราไม่มีวันจะเลิกหาเงินได้ และทองคำก็เป็นของมีค่าไม่เพียงแต่ยุคสมัยนี้ แต่ยาวนานหลายยุค แสดงว่า เงินทองก็ยังจะเป็นของมีค่าและคนจะทำมาหากินเช่นนี้หละอยู่เรื่อยๆ ต่างกันตรงที่ว่าสมัยนี้ และสมัยหน้า คนเราจะเอาเงินมาแลกกับอะไรหละ ของอะไรมีค่ามากที่สุดหละ ผมยังมองไม่เห็นอะไรจะมีค่าตั้งแต่บรรพ์จนวันนี้เท่า ความรู้ และ มิตร ที่ท่านต้องเรียนรู้ทักษะในการแสวงหากับประคับประคองไปด้วย ท่านอาจจะมองว่านี้ไกลตัวเพราะท่านลืมไปว่า คนที่อยู่ในบ้านนั้นก็นับเป็นหมวด มิตร เช่นเดียวกัน ท่านต้องฝึกฝนกระคับกระคองหรืออยู่ร่วมกันด้วยความอย่าคิดว่า ก็อยู่กันมานับสิบๆปีก็ยังอยู่ได้แบบนี้ การไม่สร้างความสัมพันธ์หรือการสื่อสารรับรู้กันแบบใหม่ๆ เท่ากับว่า ท่านไม่ใส่ใจความรู้ และท่านก็จะเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตท่านไปไม่ว่า จะเสียเลย หรือเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เหมือนเช่นที่หลายบ้าน พี่น้องอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้ ก็เหมือนที่ดินหรือทอง ที่ในอนาคตต่อให้มีอยู่แต่ก็เอาออกมาใช้ไม่ได้ มีก็เท่ากับมีเฉยๆ น่าอัศจรรย์ มิตรจะทำให้เราได้ความรู้ และการมีความรู้ทำให้เราได้มิตรด้วย สองสิ่งนี้ค้ำจุนกัน ซึ่งไม่ใช่การเปิดห้องสอนเสมอไป ข้าวต้มมัดที่ท่านทำก็เป็นตัวแทนความรู้ได้ เมื่ออยู่ในมือคนที่ทำไม่เป็น การทำของว่างไปแบ่งปันกันทานเท่ากับได้แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ และฝึกให้สิ่งมีค่าของท่าน ไม่ใช่ ฟักทองแกงบวช แต่เป็นความรู้ความสามารถในการทำของท่านพัฒนาขึ้น การทำอาหารยังเป็นหมอที่ดีเพราะทำให้ท่านเห็นได้ว่า ท่านกำลังเจ็บตรงไหน ป่วยอะไร เรื่องง่ายๆที่ใครก็ทำกันหลายๆบ้านนั้นหละ ถ้าเราทำอย่างรู้คุณค่า เหมือนการล้างรถ ทำไมเราทานข้าวด้วยกันได้กับญาติหรือเพื่อน แต่เราล้างรถร่วมกันไม่ได้ หมายถึง วันใดถ้าญาติเรานัดเอารถมาล้างหน้าบ้านเรา เราจะยอมดีๆหรือทำหน้าแปลกๆ กิจกรรมหลายอันที่มีสภาพเหมือนการทานอาหาร ท่านสามารถหาทำร่วมกันได้ แต่อาจจะแปลกหน่อย ก็การยอมรับความแปลกเหล่านี้เป็นหนึ่งในคำว่า หาความรู้ ไม่ใช่ต้องไปกดในมือถือ หรือไปนั่งเรียน นั่งหาเสมอไป

พูดโดยสรุปง่ายๆคือ ทางรอดในยุคหน้ามีสองอันสำคัญที่ควรคิด คือ ถ้าจะคว้าเอาแต่เงินทองที่ดินของมีค่าหรือสะสมไว้ก็ตาม โดยไม่แยแสธรรมะ หรือการสั่งสมบุญเลย เท่ากับ เสียเปล่าในยุคที่ดี ยุคที่ความดีงามนั้นเรียนง่าย  ทำง่าย เพราะออนไลน์หากัน แต่ท่านกลับเอาไปหาแต่วัตถุ สองคือ กระบวนการที่ท่านได้จากการหาความรู้นั้น เป็นของมีค่า คือไม่ใช่แค่ตัวความรู้ ประสบการณ์ หรือสิ่งของที่ท่านสร้างได้จากความรู้ แต่หมายถึง กระบวนการที่จะอยู่ร่วมกันระหว่างผู้เรียน ระหว่างผู้รู้ และการอยู่กับตัวเองด้วยว่าจะทำอย่างไรหละ ฉันถึงเรียนรู้ได้เรื่อยๆ ต่อให้อายุมากขึ้น หรือ ยังคุยกับคนในวัยต่างกันมากได้รู้เรื่องที่ควรเริ่มจาก ลูกหลานในบ้านของท่านก่อนเลย แต่ไม่ควรมุ่งหน้าทำโดยตรง ควรทำพร้อมกับการเรียนรู้ เช่น ทำอาหารร่วมกัน ล้างรถร่วมกัน ปลูกต้นไม้ร่วมกันที่เราไม่มุ่งว่าจะต้องปลูกอะไร ปลูกได้กี่ต้น พอลดภาษีที่ดินไหมแต่เราจะกันส่วนหนึ่งจ้างคนปลูกให้ได้ตามผลที่เราหมาย อีกส่วนหนึ่งเราจะเอาไว้ปลูกความสัมพันธ์กับลูกหลาน คิดดีๆว่าอะไรมีค่า การที่รักกันในบ้าน พ่อแม่ได้ดูแลลูกหลาน ลูกหลานได้ตอบแทน หรือจะต้องคุ้มค่าไปเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรๆที่ซื้อมาให้ บางทีเราช่วยให้ลูกหลานเราดีด้วยแค่เราเปิดโอกาสให้เขาได้ตอบแทนไม่ว่าจะเป็น เวลา ข้าวของ สมัยเล็กๆเมื่อโลกเรายังดีอยู่ เขาเล่นอะไรเสียหรือพังไปมูลค่าหลายเงินเราเสียดายแต่ก็ยังคิดได้ว่า เขาเป็นเด็ก เล่นไปด้วยความไม่รู้ เทียบมูลค่าเป็นอัตราเสียหายมากโข เรายังทำใจได้ ทำไมข้าวของสมัยนี้ ไม่ได้แพงมากไปกว่า อัตราที่เจ้าตัวเขาทำมาหาเลี้ยงชีพได้ เรากลับรู้สึกว่าหลายอันสิ้นเปลือง เพราะเราไม่ได้ไปใส่ใจที่กระบวนการสร้างการเรียนรู้ เราไปใส่ใจที่ข้าวของมากไป แล้วเราเอาความรู้ไปลงที่ข้าวของ แทนที่จะเอาลงเจ้าตัวเขาว่า เขาได้รับรู้อะไร หรือ เรียนรู้อะไรมากขึ้นและตัวเราเองก็ได้รู้ลูกหลานเราด้วยแบบวิธีไม่เหมือนเดิม ไม่ต้องถามเอา หรือดูเอา หรือจ้องดูบางมุมเอา แต่สร้างการรับ การให้ หรือกิจกรรมใหม่ๆให้ได้ทำกัน แล้วภาพจะออกมาเอง ตรงนี้ไม่เสียเวลาทำมาหากินทั้งสองฝ่ายเหรอ คำแนะนำเหล่านี้บอกแล้วว่า ไม่ใช่การพากันไปเที่ยว หรือ พากันไปทานอาหาร แต่หมายถึง การทำงานร่วมกันก็ได้ แบ่งตรงนี้ ส่วนนี้ให้เขาดูแลที่ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจ แต่เป็นห้องนอนสักห้อง ห้องน้ำสักห้อง ให้เขาได้ทำความสะอาดหรือตกแต่งตามอำนาจของเขา เราชอบไม่ชอบเอาไว้ทีหลัง แล้วจะเกิดการเรียนรู้เช่นว่า ลูกหลานเราก็จะมีกำลังใจความเชื่อมั่นแบบนี้หละ ไปทำงานต่อของเขาที่เป็นอาชีพเขา เราก็ได้รับการดูแลหรือจัดแจงแบบใหม่ๆที่หลายอันเราก็เห็นประโยชน์ได้ เพราะโลกนี้สร้างของดีออกมาขายเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่รู้ดีกว่าแน่ๆ คำถามว่า ซื้อมาทำไม ไม่ควรถามคนซื้อ ควรถามตัวเอง ว่า เราเป็นแบบไหน ทำไมหละ เขาถึงซื้อ อย่างน้อยๆคำตอบที่ควรตอบใจหากคิดไม่ออกคือ เขาซื้อเพราะเขารักเรา ควรจบที่ตรงนั้นหละ ถ้าเราเพ่งที่ใจ ไม่ได้เพ่งที่ข้าวของ ไม่มีข้าวของยุคไหนถูกท่านลองหวนคิดถึง ตอนท่านมีพ่อแม่ พ่อแม่ทุกบ้านก็ไม่เคยบอกว่า ของที่ลูกซื้อมานั้น เหมาะสม หรือ ราคาถูก หรือต่อไปข้าวของจะราคาถูกลงนะ ในเมื่อคือเรื่องปกติธรรมชาติ ท่านจะคิดหรือพูดไปทำไม เพราะเรื่องนี้ใครเขาก็รู้กันและรู้มาทุกยุค สิ่งที่ควรจะให้ทราบคือ เมื่อได้ของ หรือได้รับการทำอะไรๆเช่น บริการใดๆให้ ท่านควรให้ความเห็นว่า ดี ร้าย ปานกลาง หรือให้ผลเช่นไรอย่างตรงไปตรงมานั้นต่างหาก เอ้าทีนี้ท่านกลับเล็งที่ใจ ไม่พูด เพราะเกรงใจ แปลกดีนะ ตอนจะได้ของหรือบริการไปเพ่งที่ตัวของหรือบริการ แต่พอได้มา คนเขาถามหาความพึงพอใจหรือใช้แล้วเป็นอย่างไร กลับไปเพ่งที่ความเกรงใจ เอาให้แน่ครับ จะเอาอะไร แต่ผมขอแนะนำตรงนี้เลยว่า ท่องง่ายๆว่า เอาใจครับ คือ เอาที่ใจนั้นหละ ท่านเอาที่ใจแต่แรกโดยการเปิดโอกาส ไม่ไปมองที่ของที่เงินตามที่บอก แล้วสุดท้ายตอนพูดถึงคุณภาพภายหลัง ท่านก็จะบอกอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะท่านจะทราบด้วยจิตใจเองว่า ก็ได้รับมาด้วยใจแต่ทีแรกแล้วไง หรือพูดชัดๆว่า ก็เพราะตอนแรกรับมาด้วยการมองข้าม คือ เผลอไปพูดว่าเอามาทำไม ซื้อมาทำไม หรือเห็นว่าดีในภายหลัง หรือบางทีไม่ดีนะ แพงด้วย แต่ไปเห็นความใส่ใจลูกหลาน ภายหลังก็ละอายใจนิดๆไง เลยเกรงใจตอนท้าย ถ้าเอาใจแต่แรกนะ ตอนท้ายจะไม่เกรงใจหรือละอายใจเท่านี้หรอก ลองสร้างกระบวนการแบบนี้เอา จะเห็นผลว่าจริงหรือไม่

ผมพูดมาเสียยืดยาวเพื่อจะบอกท่านทั้งหลายว่า ควรสะสม ความรู้ และมิตร แต่เป้าหมายของการสะสมนี้ไม่ใช่เพื่อให้ได้มิตร หรือ ความรู้ แต่ควรวางเป้าหมายเอาไว้ที่ การได้สร้างกำลังใจ ก็กำลังใจตัวนี้หละที่จะทำให้คนเราเข้มแข็งทั้งในและนอก เพื่อจะไปบริหารจัดการ เงินทอง ที่ดิน ทรัพย์สิน หรือปัญหาได้ในอนาคต กำลังใจนี้หละเป็นพื้นฐานของกำลังกาย คนไข้มากมายหายได้ด้วยน้ำเปล่า หรือขนมหวานนะ ถ้าเราหาถูกกำลังใจของเขา ท่านคงได้ยินผมเล่ามาแล้วถ้ารู้จักกันมาพอควร เรื่องที่ผมเอาขนมเค้กก้อนเดียวรักษาอาการอาเจียรนอนโรงพยาบาลของเด็กสาวบางคนหาย ทั้งๆที่ให้มาสารพัดยาราวสองสัปดาห์ก็ไม่หาย คุณแม่ของเขาก็ไม่ได้มาปรึกษาผมว่าผมเป็นโหร แต่เขาก็เห็นว่าพอมีความรู้ทางหมอทางยาจีน เขานึกว่าผมจะสั่งยาจีนให้ ผมกลับสั่ง เค้กให้แทน แล้วคำตอบที่ได้คือ หายได้อย่างไรคะ ซินแส หายได้อย่างไรนี้ ยกมาไม่ได้อ้างสรรพคุณตน แต่อ้างเอาคุณของการไปเห็นและสร้างกำลังใจให้เกิด ว่าแก้กายก็ได้ แก้ปัญหาก็ได้ ในโมงยามที่เราก็รู้ครับ ว่า เราเหลือเวลากันน้อยนะ

ที่เราไปฉลองวันเกิดว่าเราอยู่ยาวบนโลกอีกกี่ปีๆ จริงๆควรฉลองในนั้นด้วยว่า รอดตายมาได้กี่ปี หรือ เหลืออีกกี่ปีเองบนโลก ควรฉลองว่า ชีวิตได้เหลือเวลาน้อยลงไปเรื่อยๆด้วยนะ ทำไมควรฉลองหละ ในเมื่อเวลาเหลือน้อย ควรฉลองเพื่อให้เตือนใจว่า อะไรที่เราควรจะทำ เราไม่ได้มีเวลามากแล้วนะ ถ้าคติวลีนี้ไปเกิดในใจคนฉลาด น่าฉลองนะ เขาจะคิดได้เองว่าควรทำประโยชน์อะไรเพิ่ม มรดกที่ท่านให้คนในยุคก่อนอาจเป็นการศึกษา ส่งเขาเรียน ให้เขามีงานดีๆทำ และมีทรัพย์สินมรดกให้ ในยุคต่อมาเมื่อคนเราออกกำลังกายน้อยลง ท่านควรให้มรดกคือการส่งเสริมสุขภาพ และในยุคนี้อีกท่านควรให้มรดกเพิ่มอีกชิ้นคือ การส่งเสริมกำลังใจ อะไรจะถูกแพง เร็วช้า เอากำลังใจว่าก่อน หรือท่องง่ายๆว่า “เอาใจในความหมายใหม่ ที่ไม่เอาใจหรือเอาแต่ใจ ทั้งในคนให้และในคนรับ ก็จะได้รับทั้งกำลังและทั้งใจ ทีได้ทั้งผู้ให้และได้ทั้งผู้รับ” เวลาเป็นของมีค่า แต่ไม่ได้ให้ค่าที่ตัวเขาเอง กลับจะมีค่าที่กำลังใจ เพราะมีกำลังใจจะเปลี่ยนเวลาให้มีคุณค่า แต่เวลาที่มีคุณค่าจะถูกปล่อยเลยไปเมื่อเราอ่อนแรงหรือไร้กำลังใจ

มิตร กับ ความรู้ เกื้อหนุนกัน กระบวนการความรู้กับการได้ความรู้ก็เกื้อหนุนกัน กำลังใจนั้น หนุนทั้ง สี่ข้อที่ว่ามานี้ให้หนุนกันและหนุนกำลังใจได้ บุญกุศล เข้าไปหนุนทั้งกำลังใจ และอีก สี่ข้อเช่นว่านั้น สิ่งสำคัญคือ เรามองออกไหมว่า เวลาใดหละ เราควรสร้างตรงไหน อันนี้ที่คนเราทำผิดพลาดกัน จนกลายเป็นทำอะไรแล้วไม่เห็นผล ก็ถอยใจจะทำ หรือเลิกทำเสีย เราพูดไม่ค่อยถูกเวลา คำพูดมีค่าก็ด้อยค่าลง เราทำไม่ถูกสถานที่ การกระทำที่ดี ก็ถอยประโยชน์ลง เราพูดเราทำถูกที่ถูกเวลาแต่ไม่ดูคน ที่เราทำดีอย่างฉลาดก็จึงไม่สร้างความสุข เพราะบางทีคนได้ไปเขาทุกข์กับสิ่งที่ดีๆของเราก็มีมาก ทั้งที่เวลาก็ดี สถานที่ก็ดี ทั้งหมดเป็นศิลปะครับ ท่านต้องใคร่ครวญแต่ไม่เคร่งเครียดในการจะ ดูสิว่า มิตร ความรู้ กระบวนการเพื่อการรู้ และความรู้ที่ได้รับ การสร้างกำลังใจ และการทำบุญกุศล ควรทำในเวลาไหน ในอันที่จริงทุกเวลาอาจะเป็นการสร้างกำลังใจได้หรือทุกเวลาเราทำกุศลได้ทั้งหมดนั้นหละ เพราะหากเมื่อใดเราไม่รู้สึกว่าเราทำกุศลอยู่ ในเฉลียวใจเลยว่าตอนนั้นเรากำลังใฝ่อกุศลหรือความไม่ดีอยู่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนแบบนี้ กำลังด้วยนะ ไม่มีอาจจะนำหน้า คือ ถ้าไม่ใช่ดีก็คือชั่วแน่ๆหละแต่บางทีเรายังหาความไม่ดีหรือชั่วร้ายนั้นไม่เจอหรือมองไม่ชัด จึงได้แยกส่วนออกมาจัดกลุ่มเป็น 4+1+1 คือ มิตร ความรู้ กระบวนการ และความรู้ (ที่รวมถึงเงินทองที่หาได้หรือสินทรัพย์ด้วย)ที่ได้รับ เป็น 4 เราต้องหาเวลาสถานที่และดูคนดีๆว่าควรหาอะไรทำอะไร เพราะมีข้อจำกัดไปตามเหล่านี้ อย่าทำอะไรด้วยเวลาไหนก็ได้ที่ไหนก็ได้ คนไหนก็ได้ ถ้าเราไม่เลือก แทนที่เราจะได้ นอกจากอาจเสื่อมกลับอาจขาดทุน +1 คือ กำลังใจ อันนี้ดูเหมือนไม่จำกัดเวลาสถานที่ แต่จำกัดคน คนนี้หมายถึงเราก่อนเลยว่า เรามีร่างกายแข็งแรงพอไหม คำว่าแข็งแรงไม่ได้แปลว่าต้องไม่ป่วยไข้ในที่นี้หมายถึง แข็งแรงพอที่จะประคองใจไหม บางคนอาจจะป่วยกระเสาะกระแสะ แต่กำลังใจดีมาก รอยยิ้ม แววตา ปฏิภาณสมอง ฯ ดังนั้น หากท่านรักตัวเอง นอกจากรักกายควรรักใจด้วย เพื่อจะนำมาวัดร่วมกันว่า ความแข็งแรงนั้นมีแค่ไหนก็ด้วย ความสามารถของกายที่จะประคอง ประสาทการรับรู้ทั้งห้า กับ ใจ หรือพูดง่ายๆว่า ยังตาดี หูดี ไม่ฝ้าฟางไม่ตึง หรือพอสมควรแก่อายุ อัตภาพ ปากดีฟันดี จมูกดี ผิวหนัง เนื้อหนังดี แล้วก็ใจดี แต่ละอวัยวะมีการออกกำลังกายการดูแลที่ต่างกัน แพทย์โบราณทั้งสยามและจีนให้ความสำคัญและจำแนกเอาไว้เสมอ ท่านลองไปหาความรู้ได้ ทุกวันนี้คนโดยมากไปใส่ใจแค่ แรงกล้ามเนื้อดี แรงหัวใจดี ทั้งหมดอยู่ในหมวดกาย ไม่ได้ใส่ใจที่ ตา หู จมูก ปากลิ้น และใจ เท่าใดเลย เรียกได้ว่า ทำเพียง หนึ่ง ใน หก เท่านั้นเอง แล้วละเลยประธานของหกอันนี้ด้วยคือ ใจ ทำไมนับหกไม่นับห้า จริงๆประสาทสัมผัสมีห้า ก็ใจเรานี้เป็นประธานของใจเราอีกรอบนะ จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ แสดงว่า เราต้องเอาใจเราไปทำให้ดี ก็จะกลับมาทำใจของเราให้ดีด้วย ฟังแล้วอาจจะ งงๆ เรื่องบางเรื่องใจบอกไม่น่ายินดีเลยครับ แต่เราฝึกใจมาแล้วเราเห็นนี่ว่า ถ้าเป็นแต่ก่อนนะ ทนไม่ได้แน่ๆ ตอนนี้ทนได้ จัดการได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่า ใจที่ฝึกดีแล้วมาดูแลใจเหรอ จึงบอกว่า หนึ่งดูแลประสาทสัมผัสทั้งหก

บวกหนึ่งสุดท้ายคือ กุศล อาจจะดูเหมือนทำเวลาไหนก็เป็นกุศลได้ แต่หากท่านไม่ผ่านการใคร่ครวญหรือทักษะใน 4+1 นั้นมาก่อน ท่านจะสร้างข้อนี้ไม่สำเร็จเท่าที่ควร หรือเรียกว่า กุศลที่ไม่สำเร็จประโยชน์ของกุศล เช่น ถ้าคนนี้ควรหาความรู้ แต่ท่านดันไปสอนเขา คนนี้ควรคบเป็นมิตรที่ช่วยเหลือเรื่องงาน แต่ดันไปหลงลงทุนให้ จนขาดทุน แทบไม่ต้องถามหา +1 คือ กำลังใมจจะเกิดไหม จิตท่านก็ขุ่นมัวเรียบร้อยแล้ว อันที่ว่า ไปช่วยมิตร ไปช่วยญาติ นึกว่ากำลังทำกุศล ก็กลายเป็นทำด้วยความกลัว กลัวผิดคำพูดกับบรรพชน กลัวผิดกับญาติผู้ใหญ่ กลัวผิดคุณธรรม ทั้งๆที่จริงผิดไปแล้วครับ คุณธรรมอะไรหละงอกจากความกลัว หรือทำเพราะใจบังคับ หรือถูกบีบบังคับ ถ้าเรารู้เราจะต้องพยายามแก้กลางหาว คือ แก้ตรงนั้นเลยว่า นี้เราไม่ได้กลัวนะ หรือ เครียดนะ เราทำเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือเขาในการที่เขาเป็นญาติเรา ดูที่อาการกิริยาด้วย ไม่ใช่บอกว่าไม่เครียดแต่มือสั่นเท้าสั่น รีบบึ่งรถออกไปทันทีทั้งๆที่เรื่องไม่ได้ต้องรีบ แบบนี้ กายฟ้องแล้วครับ พิพากษาว่าหลอกตัวเอง แต่หลอกตัวเองไม่เป็นไรนะ ขอให้เรารู้ทัน เรารู้ทันไปเรื่อยๆ สักวันเราจะไม่หลอกตัวเองแล้วครับ ใจคนมีปกติฉลาดมาก ผ่องใส เดี๋ยวถ้าเรารู้ทันไปเรื่อยๆ จะเห็นหนทางทำให้สบายขึ้น ห่วงตรงไม่รู้ทันนี้หละ ดังนั้นต้องใส่ใจ ทำ 4+1 ให้สำเร็จดีๆ แล้ว +1 คือ กุศลจะได้มาทุกขณะทั้งแต่เริ่มคิด เริ่มทำ ลงมือทำ และงานเสร็จ หรือจะพูดว่า +1 เป็นผลจากที่ทำ 4+1 ก็ได้ กุศลไม่ใช่เรื่องยากนะ แล้วคุ้มค่าด้วยขอแค่เราไม่คิดว่า กุศลคือ เงินทำบุญฯ จะทำบุญอะไรก็คิดเรื่องเงินก่อน ถ้าคิดแบบนี้ มองไม่ค่อยเห็น 4+1 หรอกครับ เห็นแต่ ¼ คือ เห็นแค่ประโยชน์ข้าวของเงินทอง จึงบอกว่าเริ่มง่ายๆที่คนในบ้าน ไม่ไปคิดว่าถูกแพงเร็วช้า แต่คิดเอาใจ จำได้ไหมที่ให้ท่อง เอาใจ คือ เอากำลังใจเขา เพราะกำลังใจนี้หละจะเป็นสินทรัพย์โลกอนาคตที่ พ่อค้าทั้งหลายก็จ้องขโมยนะ เราเสียกำลังใจในสุขภาพครับ เราต้องหากี่หมอ เข้าที่ยิม ซื้อกี่ยา หามากี่อาหารเสริม เราขาดกำลังใจในชีวิตครับเราต้องไปเที่ยวกี่ที่ บินกี่รอบ ตอบกี่แบบทดสอบบุคลิกภาพหรืออ่านใจ ให้เงินนักพยากรณ์ไปกี่คน สับสนเดินวนไปวนมาหน้าบ้านหรือหน้าห้องเสียไปกี่นาที สาพัดเป็นช่องทางการค้า แล้วคุณคิดว่าจะไม่มีพ่อค้าหัวใส พูดอะไรที่ทำให้คนเสียกำลังใจ จนผมเรียกสิ่งนั้นว่า วิชาการเคลือบช็อคโกแลตเหรอ คือ สร้างความหอมหวานน่าเชื่อมาก แล้วเป็นวิชาการด้วย แนะนำสิ่งต่างๆทั้งสุขภาพ การเงินการลงทุน การงาน ความรักทั้งต่อคนรักนอกบ้านหรือในบ้าน เนื้อหาดี คนพูดน่าเชื่อถือ อ่านแล้วก็ชวนเชื่อ ทำแล้วก็เหมือนจะเห็นผล แต่สร้างกลหลอกควบคุมเราเป็นสาวก แล้วขายของอะไรที่แพงแต่เราก็ยังซื้อ ปรากฎการณ์นี้เกิดมากมาย ทั้งสัตว์หรือตุ๊กตาอุปโลกน์ หรือ การบอกว่าเป็นหมอได้ต้องจบแพทย์ศาสตร์ หมอที่จบปริญญามากมายก็หลอกลวงคนก็มี ไม่จบก็หลอกได้ก็มี ตุ๊กตาหลอกได้ ไม่เป็นตุ๊กตาก็หลอกได้ก็มี สำคัญที่ท่านหยุดไว้ตรงความบันเทิงได้หรือไม่ คือ แยกได้ว่า อันนี้เป็นข้อเท็จจริง อันนี้เป็นข้อคิดเห็น จำได้ไหมครับใครเคยเรียนสมัยก่อน ครูจะสอนเรื่องการอ่านข่าว หรือการรับสาส์น แล้วสอนให้เราแยกเอาข้อเท็จจริงออกจากข้อคิดเห็น แต่ดูดีๆนะ ข้อคิดเห็นที่ว่านี้ไม่ใช่ ข้อคิดเห็นผู้เขียนอย่างเดียวครับ ต้องแยกข้อคิดเห็นของเราด้วย ทำอย่างไรให้สัตว์น่ารัก ตุ๊กตาน่ามองเป็นกำลังใจให้เราบันเทิงแต่ไม่ทำให้เราหลงจนเป็น วิชาการเคลือบช็อคโกแลต อันนี้ยังไม่ยากเท่า คำแนะนำในการลงทุน หรือการกินอยู่ ที่สอดแทรกการขายของ แต่ไม่ผิดนะ เราจะซื้อของเพราะตุ๊กตา เพราะสัตว์ หรือ ซื้อเพราะวิชาการเคลือบช็อคโกแลตก็ไม่ผิด เพราะหลายที่เขาทำดีจริงๆ คุณภาพจริงๆ ที่บอกให้มองคือ ใส่ใจที่จะแยกแยะบ่อยๆ เพราะไม่ใช่ว่า ของดีมีคุณภาพจะเหมาะกับคุณเสมอไปเหมือนที่ผมบอกว่า น้ำที่อุณหภูมิเหมาะสมกับเรา มีประโยชน์ต่อเรามากกว่าน้ำใส่วิตามิน หรือน้ำแร่เสียอีก

พอเห็นภาพกระบวนการของกุศล และกระบวนการของกำลังใจไหมครับ นี้เรียกว่า ทำธรรมะไปพร้อมๆกับทำทางโลกไหม ดังนั้น อย่าไปแยกส่วนกันขนาดนั้น ว่า สถานที่นี้ๆ ต้องเป็นที่ทำบุญเท่านั้น เราทำบาปในที่นั้นก็ได้ครับ เหมือนกัน สถานที่บ้านของเรา ที่ทำงานเรา เราสร้างกำลังใจ และสร้างกุศลได้มาก แต่คนสมัยนี้ชอบทำบุญนำหน้าเกินไป ไม่ได้สร้างกำลังใจเลย พอเราไปพูดว่า เราทำบุญนะ เราไปทำภาวนามานะ ตัวเราเองด้วย คนอื่นด้วยก็มองเป็นคนละเรื่องกับชีวิตทำมาหากินทางโลก จะกล่าวว่า ทำบุญกับการนุ่งขาวห่มขาวนั้นไม่จำเป็น เลี้ยงชีพทางโลกก็ทำบุญและภาวนาได้ก็ไม่ถูกนัก คือมักคิดว่า สมาธิ นั่งหลับตา หรือทำกรรมฐานแบบนานๆเป็นเรื่องเกินจำเป็น อยู่ทางโลกก็ปฏิบัติธรรมได้ก็ไม่จริงอีก จะต้องพาตัวเองไปเรียนรู้ไงครับ 4+1 ได้กล่าวไปแล้ว กำลังใจเราสร้างมาเองลอยๆไม่ได้หรอก ต้องไปทำ 4+1 ที่บอกไปด้วย หาเงินหาโอกาสไว้ทำร่างกายดีๆไว้เพื่อให้เราได้ไปปฏิบัติธรรมบ้าง แล้วเอาที่ปฏิบัตินั้นหละออกมาใช้ คือ เอา +1 คือกุศล มาสนับสนุนกันไปมา กับ 4+1 ให้ดีๆ แต่ตรงนี้มาทำให้เห็นว่าไม่ได้ยากแล้วไม่ต้องไปสอนกันแบบด่าคนนั้นว่าคนนี้ หรือสอนด้วยวิธีแรงๆ เพราะการให้เกียรติทางสติปัญญานั้น เป็นคุณธรรมพื้นฐานนึง คือ เราไม่ไปมองว่าใครเขาโง่หรือคิดไม่ได้ หรือเด็กไปสอนไม่รู้เรื่อง หรือแก่แล้วว่ายากสอนยาก โบราณท่านว่า ไม้อ่อนดัดง่าย แต่ก็ต้องดัดครับ ดัดแล้วก็ต้องดัดอีก เพราะดัดง่าย เดี๋ยวเจออะไรหน่อยก็คดง่าย หรือเถรตรงเกินไป ไม่ดัดก็เป็นท่อนไม้ต่อไป หรือคดต่อไป ไม้แก่นั้นดัดยาก แต่ก็ต้องดัด ไม่ดัดก็จะคดจะงอไปตามเรื่องตามรูปที่เราสะสมมานับสิบๆปี ดัดแล้วดัดอีกได้แต่เบามือหน่อย เพราะหักง่ายครับ ผู้รู้ท่านไม่เคยกล่าวสำนวนไทยว่า พบไม้อย่าดัด แล้วใครหละเป็นคนดัดคนแรก ก็ตัวเราเองนี้หละ ทุกคนมีความเด็กความแก่ในตนเองไม่เป็นไปตามอายุหรอก ดังนั้นต้อง แยกแยะ ว่าตอนไหน ทำอะไร ควรดัดบ่อยๆ อะไรที่อย่าไปดัดหรือไปยุ่งมากจะหักเอาดื้อๆ นี้เรียกว่า การให้เกียรติตนเอง ถ้าเราทำแบบนี้บ่อยๆ เราจะให้เกียรติคนอื่น ตั้งแต่คนในบ้านเราไปถึงคนข้างนอก เราจะแนะนำอย่างให้เกียรติ และหนึ่งในการแนะนำที่ดีก็คือ การเงียบด้วยนะครับ แนะนำไม่ได้แปลว่าต้องพูดเสมอไป แต่พูดก็มีประโยชน์มากกว่า เพราะพระท่านก็สอนเอาไว้เสมอว่า พูดให้ฟัง ทำให้ดู มีความสุขให้เห็น แต่คำว่าพูดให้ฟังนี้ไม่จำต้องใช้ปาก เขียนก็ได้ แสดงออกก็ได้ นิ่งที่ไม่เฉยเมยก็ได้ ดูดีๆนะ นิ่งเพื่อบอก กับ นิ่งเพื่อเฉย ต่างกันตรงที่ถ้าเราประเมินแล้วว่าเขาไม่รู้เรื่อง เราต้องไม่นิ่งต่อครับ เราต้องสื่อสารออกไปให้เขาทราบ อย่างมีเมตตาให้เกียรติ

ขอฝาก 4+1+1 เอาไว้บนความให้เกียรตินะครับ หมายถึง ท่านได้ให้เกียรติตัวท่านเองในการได้มาอ่านอะไรแบบนี้ ซึ่งขอให้ทราบว่าผมก็ได้ให้เกียรติท่านอ่านและไม่แถลงด้วยถ้อยคำ กระโชกหู กระชากสติ คือ ไม่จำต้องแสดงกิริยารุนแรงหรือ ใช้คำพูดหรือยกเอาแต่หัวข้อที่น่าสะพรึง อย่างเช่นที่บอกไปทั้งหมด หากใครเข้าใจคงเห็นได้ว่า ตนเองทำกุศลบ่อยนะ เพราะกุศลไม่ต้องทำด้วยเงินเสมอไป คิดถึงบุญกุศลทีไร หากใจไม่ได้คิดเรื่องซื้อหา หรือเรื่องเงินนำหน้ามากเท่าก่อนแล้ว หรือไม่ได้คิดเลยเป็นปกติ ผมขออนุโมทนาด้วยนะครับ

ยุคหน้าเราจะรอดครับไม่มีทางไม่รอดหรอก ผมเอามาพูดวันนี้ให้ท่านได้เห็นค่าของ กงล้อแห่งคุณภาพ คือ มิตรและความรู้ สองสิ่งนี้ขับเคลื่อนกันและกัน ให้เกิด ความรู้ การพัฒนา กำลังใจ และการแยกแยะได้ เท่ากับว่า ทำให้เกิด สิ่งที่เรียกว่า โอกาสชีวิต ตามที่ท่านรู้กันอยู่แล้วว่า เมื่อมีโอกาส ความสำเร็จ หรือข้าวของเงินทองก็หามาได้ไม่ยากหากเราคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ครับ อาชีพที่ควรทำในอนาคตเพิ่ม คือ อาชีพธาตุลมเป็นหลัก ธาตุดินเป็นรอง ท่านลองไปหาเอาในความหมายต่างๆ และตามความถนัดของตนๆ ตามอรรถาธิบายธาตุลม คือ ความเคลื่อนไหว พัดไปมา ความตึง ความอ่อน ความแห้ง ความชุ่มชื้น คู่ตรงข้ามเหล่านี้เรียกธาตุลม ความหนักแน่น ความรองรับ ความแข็ง ความหนัก ความหมายเหล่านี้คือ ธาตุดิน ได้ทั้งสินค้า และบริการ หากยังหารูปธรรมยาก ให้ไปอ่านความหมายของธาตุทั้งห้า ทอง และ ไม้ ในโหราศาสตร์จีนครับ ใช่ครับ ไม่ใช่ไปอ่าน ดิน และ ลม ในธาตุห้าของจีน แต่ให้ไปหาอ่าน ทอง และไม้ ในห้าธาตุของจีน เทียบธาตุกันในบริบทนี้แบบนี้ครับ

สุดท้ายนี้ ตัวเลขนำโชคคือ 4 1 1 และ 4 5 6 นะครับ ตัวเลขใดๆก็ได้ ต่อไปนี้จะนำโชคท่านแล้วหละ นำไปใช้ก็ได้ เพราะท่านจะจำได้แล้วว่า 4 1 1 ก็หมายถึง 4+1+1 ตามที่เล่าไป 4 หมายถึงอะไร 5 ก็เกิดจาก เราทำ 4 ให้ดี บวกอีก 1 เป็น 5 ใช้ในงานธุรกิจหรือหน้าที่จัดจ้าน เพราะไม่ทันได้คิดว่าเป็นกุศลหรือไม่ พอพัฒนาแล้วมีความรู้แล้วหรือทำได้แล้ว ให้เอา 5 1 หรือ 5+1 เป็น 6 ครับ หมายถึงอะไร ก็หมายถึง ถึงที่ได้สอนไปนั้นไง จะให้พูดกี่รอบ ฮ่าๆ อันนี้ไม่ได้พูดจาร้ายกาจขึ้นนะ แต่มุ่งหมายให้จำให้ได้หน่อย ความหมายเลขมงคลอย่าไปเอาแต่ดวงดาว เวลาเราเอาเลขวันที่ๆเราเกิดมาใช้ก็ให้นึกถึงพ่อถึงแม่ ว่าเลขนี้มงคลนะ เพราะเป็นวันที่ท่านให้เราเกิดมา เลขที่บ้านตัวเองก็เป็นมงคลได้นะ เพราะเป็นที่ๆเรามีแผ่นดินอยู่หนะครับ ดีกว่าไม่มีไหม เป็นที่ๆบรรพชนท่านให้เรามา ท่านมีคุณไหม เราจะเปลี่ยนตัวเลขไม่ดีให้ดีก็ด้วยวิธี จำใหม่แบบนี้ กำหนดความหมายใหม่ ไม่ใช่หาแผ่นทองไปปิดแล้วเซ่นไหว้ โลหะ ต่างกันนะ คนโบราณท่านไหว้แม่ย่านางเรือ เพราะท่านไหว้ที่ลมฟ้าอากาศครับ คือ เรือต้องเจอฟ้าฝน ท่านสำนึกคุณแผ่นดินและธรรมชาติ ท่านไหว้ต้นไม้ที่เราไปตัดมาทำเรือ ก็ขอบคุณให้เกียรติธรรมชาติและเทวดา แต่รถยนต์ไม่เหมือนกันสิ ถ้าคุณจะไหว้รถนะ ไม่ต้องไหว้ฝากระโปรง เพราะสมัยนี้ทำจากเหล็กอ่อนๆ หรือพลาสติกฉีดโลหะ ช่วยชีวิตคุณไม่ได้จะไหว้ๆไหว้เครื่องยนต์ตรงผ้าเบรค กับตัวห้องเครื่องห้องโดยสารจะดีกว่า แต่กระนั้น ผมแนะนำให้ไหว้ที่เบาะนั่งครับ ฮ่าๆ ใครหลายคนคงคิดว่าผมจะให้ไหว้ที่พวงมาลัยสิท่า เบาะนั่งนี่หละถ้าจะหาไหว้นะ ไหว้เบาะเราเพื่อบอกตัวเองว่า ขับดีๆหน่อยนะคราวนี้ อย่าเอาอดีตมาเป็นรางวัลว่ารอดตายหวุดหวิดจากการเหยียบมิดหรือฝ่าไฟแดงหรือมีรถราคาแพงๆ ไหว้เบาะข้างๆ ว่า ขอบคุณที่เขายังนั่งอยู่กับเรา ไม่ใช่ทนเราไม่ได้ หรือต้องบาดเจ็บหายไปเพราะน้ำมือเรา เขาให้เกียรติเรานั่ง ทำไมเราไม่ใส่ใจให้ดีพอ ปากก็บอกว่ารัก บอกว่าห่วง กิริยานี้เหมือนกับจะพาให้ไปอยู่ด้วยกันที่ไหนสักที่ในปรโลก เบาะนั่งนี่ทำให้เราสุขภาพดีหรือเสียได้ในระยะยาว เบาะนั่งทำให้การขับบังคับพวงมาลัยหรือเหยียบเบรกและคันเร่งเราดี ถ้าอยากไหว้ ทีหลังไหว้เบาะนะ เพราะรถเราบางทีก็เอาไปรับส่งคนดีๆ เช่น เช่นอะไรหละ ไม่ต้องไปนึกถึงพระ หรืออาจารย์แค่นั้น คนดีๆเช่นว่า อยู่ข้างๆเรานี้ไง นอนข้างๆเรา กินข้าวข้างๆเรา หรือ อยู่บ้านเดียวกับเรานี้ก็ด้วย นะ อะไรต่อไปนี้ดูเป็นอัปมงคล ถ้าเราไม่มีวิชาความรู้ ให้เราให้ความหมายใหม่กับสิ่งนั้น อย่าไปทำอะไรเพราะ ทำตามๆกันมา หรือใครเขาก็ทำ หรือไปเชื่อเขาเล่าว่า เหมือนที่ยกตัวอย่างไป แม่ย่านางเรือหนะ มี แต่แม่ย่านางรถ ท่านไม่ไปกับคุณหรอก ถ้าขับหวาดเสียวขนาดนั้น คนนั่งข้างๆ หรือเบาะหลังยังจิกเท้าหรือร้องกรี๊ดในใจดังลั่น แต่ดูเงียบเพราะปากเขาไม่ขยับ คิดว่าเทวดาจะชอบหรือ ทำไมต้องไปช่วยป้องกันคนที่ไม่ป้องกันตัวเองด้วยหละ นะครับ อย่าเอาอะไรๆก็ฝากไว้กับ มงคล ไม่มงคลทางข้าวของหรือตัวเลข หรือฝากภาระไว้กับเทวดา ฝากไว้กับรถรา หรือเครื่องมือก็ไม่ได้ ต้องฝากไว้ที่เจ้านายมัน คือ คนเรานี้หละนะ

พูดเรื่องการลงทุน กับอนาคต มาจบท้ายที่รถได้อย่างไร ไม่ได้จบที่รถ รถเป็นแค่การยกตัวอย่างครับ จบที่ ความไม่ประมาท ต่างหาก จะไม่ประมาทได้ต้องมีสติ แต่อย่าพึ่งข้ามสิ สตินี้ใครก็พูดได้ ที่บอกอย่าข้ามคือ ต่อให้มีสติ ตาไม่ดี มองไม่ชัด หูก็ไม่ได้ยินเสียงรถ เสียงแตร สติช่วยได้ไหมทีนี้ ดังนั้น ก่อนจะไปหาสติ มาหา 4+1 นี้ก่อน จำได้ไหม การดูแลสุขภาพกาย ที่ไม่ใช่แค่การไปสร้างกล้ามเนื้อ แต่ต้องดูแล ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ให้ดีด้วย ประสาทรับรู้ไม่ดี สติมากแค่ไหน ทำงานได้ไหมครับสติ แต่ประสาทรับรู้ดี ไม่มีสติ เอาแต่สตางค์ ได้ไหม ก็ไม่ได้อีก ใครอย่ามาสวนผมนะว่า มีประสาท 4+1 ดี มีสติ แต่ไม่มีสตางค์ ก็ไม่ดีนะอาจารย์ ขอตอบล่วงหน้าว่า เมื่อมี 4+1 คือ มีประสาทรับรู้ดี มีความรู้ มีสติ ยังไงก็มีสตางค์ครับ เพราะคนมีเช่นว่านั้น เขาจะไม่ย่อท้อ หรือเกียจคร้านบางคราวก็ลุกขึ้นสู้ได้ เสียศูนย์บางหนก็ทำใหม่ได้ เพราะผมบอกแล้วว่า 4 จะไปหนุนกันแล้วหนุนให้เกิด1 หรือทำให้สร้าง 1 คือกำลังใจได้ง่ายด้วย ภาษิตจีนว่า ทุกที่มีทองคำฝังไว้ รอแค่คนมาขุดเท่านั้น

บุญกุศล ผลงานทั้งหมดในบทความสิบหน้าเช้านี้ ผมขอยกให้คุณแม่คุณพ่อผมและครูบาอาจารย์ เพราะผมชักหิวแล้วหละ จะสิบโมงแล้ว ผมจะได้ลงไปทานข้าวที่ท่านทั้งสองใส่ใจเตรียมเอาไว้ให้ และนั่นทำให้ผมมีร่างกายเอามาช่วยบอกพวกท่านโดยน้อมนำความรู้จากท่านทั้งสองด้วยครูบาอาจารย์ท่านลงมาบอกด้วย ขอบคุณตัวเองด้วยหละเพราะทีแรกผมกะเขียนสามหน้า เติมไปเติมมา ขอบคุณพวกท่านทั้งหลายด้วย เพราะทุกการอ่าน และการส่งต่อ เป็นการเติมค่าให้อักษรผม อ่อ ลืมบอกไปพอเขียนตรงนี้ สิ่งที่มีค่าของใครอีกหลายคนอาจจะเกิน 4+1+1 นะครับ แบบผมนี้ ยอมรับเลย ไม่มีความสุขกับการได้ของอะไรเท่าเครื่องเขียน แต่นั้นก็ยังไม่มีความดีใจเท่าได้รับหนังสือหรือตำราดีๆสักเล่ม หรือแค่หน้ากระดาษเดียวก็เถอะ เป็นความสุขแบบนี้แต่เด็กแล้ว หวังว่า ท่านจะหาเจอบ้างว่า ท่านได้อะไรสักอย่างสักประเภทที่สุขแบบนี้ นำมาขยายด้วยธาตุดินและลมตามที่บอกไปนะครับ ความสุขจะสร้างโอกาส การงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพตามวัยตามอัตภาพที่ดีให้ท่านได้ ลองหาวัยเด็กดู

หมอซินแส 25/10/2567

ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

ลูกตุ้มโมเมนตั้ม ช่วยในเรื่องของฮวงจุ้ยในการอ่านหนังสือได้

จากคำถามที่มีผู้ถามมาว่า ขออนุญาตสอบถามเกี่ยวกับ ลูกตุ้มโมเมนตั้ม นะคะ คือดิฉันไปได้ยินมาว่า สามารถช่วยในเรื่องของฮวงจุ้ยในการอ่านหนังส...

Comentários


bottom of page