ถ้าผมถามว่าในสายตาคุณแล้ว ช้าง นั้น รูปร่างเหมือนอะไร คุณจะตอบว่าเหมือนอะไรครับ ถ้าคิดไม่ออก ผมจะลองยกตัวอย่าง คำตอบของคนสมัยก่อนมาให้อ่านกันดู สมัยก่อนมีบางคนว่า ช้างมีรูปร่าง เหมือนหม้อ บ้างว่า เหมือนกระด้ง เหมือนตอไม้ เหมือนงอนไถ เหมือนยุ้งข้าว เหมือนเสา เหมือนครก เหมือนสากตำข้าว เหมือนไม้กวาด คุณอ่านมาตรงนี้แล้วอาจจะสงสัย ทำไมช้างเหมือนสิ่งเหล่านั้นที่ว่ามาได้ ที่สำคัญ ทำไมแต่ละคนบรรยายรูปร่างช้างออกมาไม่เหมือนกันสักคนเลย บางคนว่า เหมือนตอไม้ บางคนว่าเหมือนหม้อ เหมือนไม้กวาด สิ่งพวกนี้รูปร่างเหมือนกันเสียที่ไหน
ถ้าผมเล่าต่อว่า คนเหล่านั้นก็ กำหมัด ยืนเถียงกัน ด้วยยืนกรานว่า ตนเองนั้นหละ พูดถูกที่สุดอีกหละ “อย่างนี้คือช้าง อย่างนี้มิใช่ช้าง ช้างต้องไม่เป็นอย่างนี้ ช้างต้องเป็นอย่างนี้” คุณคิดว่าคล้ายๆกับเหตุการณ์สมัยนี้ที่เกิดขึ้นไหม นี่แสดงว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยกับเหตุการณ์ต่างๆในปัจจุบัน งั้นก็แปลว่า เราไม่ได้ก้าวเท้าออกจากป่าเดิมๆที่เรากำลังหลงทางกันนี้ พวกเรากำลังแค่เดินวนๆ อยู่ในป่าเดิมๆกันนี้เอง ความคิดที่นึกว่าพัฒนานั้น ก็เพราะสิ่งต่างๆรอบตัวดูเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง แลดูมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่เราก็ยังพากันอยู่ป่าและเดินวนในป่าแบบเดิม ด้วยความคิด การกระทำ และคำพูดที่มีต่อกัน จนภาพเดิมๆ คล้ายว่าย้อนกลับมาทาบกับภาพปัจจุบันนี้แล้ว แนบสนิทไร้รอยต่อ แทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้เลยจริงๆ เหตุที่คนสมัยก่อนเหล่านั้นยืนกรานแบบนั้น แล้วยังเถียงกันอีกด้วย ก็เพราะเขาเหล่านั้น ล้วนตาบอด แล้วถูกพระราชาบอกให้ลองไปคลำช้างดูสิ แล้วบอกออกมาทีที่สัมผัสได้ ว่า ช้างมีรูปร่างแบบไหน เหมือนกับอะไร แต่ละคนดันไปจับไปคลำกันคนละที่ ก็แน่นอนหละ คนเราเชื่อความคิดและประสบการณ์ตัวเองที่สุด และนั่นคือ ผลที่ออกมา คนตาดีอย่างเราท่านทั้งหลายว่าอย่างไร คำตอบนั้น มีข้อไหนถูกบ้าง ไม่ถูกเลยสักข้อใช่หรือไม่
คุณอาจคิดว่าก็แน่นอน ก็เขาตาบอด หากเขาตาดีคงจะไม่พูดแบบนั้น และในเมื่อเห็นช้างได้ถนัดตา ก็คงไม่ต้องมาทะเลาะกัน หรือยืนกรานว่าตนเองถูกที่สุด เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น ในเมืองเดียวกันนี้ สมัยต่อมาก็เกิดเรื่องกรณีเช่นเดียวกันอีก แต่คราวนี้เป็นคนตาดี และมีความฉลาด เป็นเหล่านักคิดด้วย สมัยก่อนถูกเรียกว่า สมณพราหมณ์ เป็นคนรู้หนังสือ เป็นนักคิด เป็นคนมีความรู้ และมีตาดี เหตุการณ์นี้ก็เกิดในเมืองสาวัตถีอีกรอบ คนแต่ละพวกแต่ละสำนัก ต่างชอบ ต่างคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น และเชื่อมากๆว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเชื่อถือยึดถืออยู่นั้นหละ ถูกต้องที่สุด แล้วก็ยังคง เถียงกันเหมือนเดิม คราวนี้รุนแรงกว่าคนตาบอดอีก เพราะคนตาบอดกำหมัดเถียงกัน แต่คนตาดีเหล่าที่ว่านี้ หลายเหล่ามากนะ ไม่ใช่แค่สองเหล่าสองแนวคิด คิดกันไปต่างๆ เชื่อกันไปต่างๆ แบ่งกันเป็นเหล่าเป็นกลุ่มสมณพราหมณ์ เกิดบาดหมางกัน ใช้อาวุธที่เหมือนหอก คือ ปาก นี่หละทิ่มแทงกัน ว่า “อย่างนี้เป็นธรรม อย่างนี้มิใช่ธรรม ธรรมต้องไม่เป็นอย่างนี้ธรรมต้องเป็นอย่างนี้” จึงไม่แปลกและไม่ควรตั้งคำถามอีกเลยท่านทั้งหลาย ว่า มีคนคิดแบบนี้ได้อย่างไร ทำไมคนพวกนี้คิดแบบนี้ ทำไมคนพวกนั้นคิดแบบนั้น ทำไมเราคิดไม่เหมือนคนอื่น ไม่เหมือนคนนั้น ไม่เหมือนคนพวกนั้น และยิ่งไม่ควรคิดว่า จะทำอย่างไรให้ คนทุกคน หันมาคิดเหมือนกัน หันหน้าเข้าหากันแล้วพูดคุยกันอาจจะช่วยแก้ปัญหาหรือทำให้คิดเหมือนกันได้ กระนั้นหรือ ต่อให้ตาบอดก็เถียงกัน ตาดีมีการศึกษา มีความรู้ก็แล้ว ด้วยว่า ชอบต่างกัน เชื่อต่างกัน ยังไงก็คิดต่าง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนคิด ขั้นกำหมัดเถียง ขั้นใช้ปากคอ วาจาทิ่มแทงกัน นี่คือคนตาดีทางร่างกาย แต่ตาบอดทางใจ ทางสติปัญญา
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนทั้งหลาย เชื่อและเห็นตรงกัน หรือยิ่งยากมากที่จะมาให้เห็นตรงกับเราทั้งหมด แม้แต่สมัยพุทธกาล ทั่วทั้งชมพูทวีปก็ยังไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนากันทุกคนเลย นี่เป็นความสำคัญว่า ทำไมเรียนอะไรก็ตาม ควรศึกษาหลายสำนัก หลายแบบ ฟังหลายอาจารย์ เพื่อคุณจะได้เอามาประมวลความว่า จริงๆแล้ว เป็นอย่างไรแน่ แต่ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้เสียทีเดียวหรอก เหมือนไปเอาข้อมูลคนตาบอดพวกแรกมาจับใจความ คุณจะรู้ชัดได้ก็ต่อเมื่อ คุณตาดีมองเห็นได้จริงเท่านั้น หากว่าคุณตาบอด ทีนี้ยากละ เว้นแต่เลือกเชื่อถือคนตาดีคนนึงที่รู้จริง แล้วจะแน่ใจอย่างไรว่า เขาคนนั้นรู้จริง คำถามมากมายพวกนี้ จะได้รับคำตอบไปทีละตอนเมื่อคุณไม่หยุดที่จะ พิสูจน์ เรียนรู้ จดจำ และนำเอามาทำดู แต่จะเสียเวลามากๆถ้าไปตั้งคำถามว่า ทำไมๆ เหล่านั้น หรือไปวางเป้าหมายว่า ต้องหาคนเหล่านั้น ให้กลับมาเชื่อตามแบบนี้ให้ได้
ขอให้อยู่อย่างสบายใจเถอะว่า โลกไม่แตก บ้านเมืองไม่แยกหรอก โลกนี้แตกก็มีโลกใหม่ บ้านนี้แยกก็มีบ้านใหม่ ยังไงคนเราต้องมีใครที่คิด และเชื่อเหมือนๆกับเราอยู่แน่ๆ ทั้งหมดเพื่อมาเตือนใจคุณว่า ไม่ว่าจะตาบอด ตาดี มีความรู้ มีการศึกษาดี มีประสบการณ์ดี หรือมีตำแหน่งแห่งที่อะไรๆในสังคม ก็มีสิทธิเห็นต่าง ซึ่งอาจจะรวมถึงต่างไปจากความจริงหรือเชื่อแบบผิดๆด้วย ดังนั้น ไม่อาจไปถือเอาคนที่สร้างตัวสำเร็จ คนที่เรียนสำเร็จ คนที่สร้างความยิ่งใหญ่สำเร็จมาเป็นแบบอย่างชีวิตได้เลย ไม่มีใครสามารถทำตามใครอีกคนนึง แล้วจะเป็นเหมือนคนๆนั้นได้ ไปเสียทั้งหมด ความเห็นต่างพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่มีอะไรน่าไปกังวลใจทั้งนั้น
ถ้าเมื่อไหร่คุณกังวลใจ เหมือนตกอยู่ในที่ๆไม่มีใครเห็นเหมือนคุณ ทำแบบคุณ เชื่อแบบคุณ หรือพูดจากับคุณรู้เรื่อง ทางเดียวที่จะแนะนำให้คุณทำ คือ ออกมาเสียแบบเงียบๆ และต้องออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือไม่ออกมาก็ได้ หากแน่ใจว่า ใจของคุณมีเพื่อนอยู่ หมายถึง มีที่พึ่งว่าเราเชื่อถืออะไรอยู่ ทำเพื่ออะไรอยู่
ผมต้องพูดเพราะต่อไปพวกเราทุกคน ไม่ว่าใคร จะตกอยู่ภายในวงล้อมแบบนี้ และอาจจะบ่อยขึ้น เพราะพวกเรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งนักคิด นักพูด และคนมีความรู้ แต่เรียนรู้มาแบบต่างๆกัน และมีเป้าหมายต่างกัน ในลู่ทางที่หารายได้และมีชีวิตได้ต่างกัน วันใดที่คุณรู้ตัวว่าหลงเข้าไปในกลุ่มคนที่ต่างจากคุณมากๆแบบนั้น ขอให้มีมารยาท ขอให้มีศีลครบห้าข้อเป็นอย่างน้อย และขอให้มีเมตตา ที่สำคัญคือ มีที่พึ่ง แล้วไม่ว่าคุณจะยืนอยู่ หรือเดินออกมา ทุกอย่างจะเรียบร้อย ดีงาม ที่สุดเท่าที่จะดีได้เสมอ พร้อมกับควร ตัด ความกังวลใจไป ณ ตอนนั้นทันทีว่า ทำไมต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้สรุปลงที่ ก็เห็นต่าง เท่านั้นเอง แล้วหันกลับมามองตัวเองให้เร็วที่สุดว่า 1.ตัวเองเป็นใคร 2.ทำหน้าที่อะไร 3.การเป็นใครและทำหน้าที่แบบนี้ทำให้เป้าหมายตัวเองยังคงมั่นคงอยู่ใช่หรือไม่ และ 4.เป้าหมายนั้น 4.1 ดีงาม 4.2 รอบคอบ และ 4.3 เป็นประโยชน์ใช่ไหม ถ้าทำแบบนี้ได้ก็ไม่ต้องแสดงจุดยืนอะไรทั้งนั้น เพราะ สี่ข้อนี้จะทำให้ ขาคุณก้าวเดินไปเรื่อยๆ แบบไม่ยืนตรงไหนแน่นิ่ง จะทำให้พัฒนาไปในทางที่มีความสุข และเรียบร้อยได้
คำตอบนี้ตอบคนที่ชอบถามบ่อยๆด้วย ว่า สำนักไหนดีสุด ตำราไหนเชื่อได้ที่สุด วิชาไหนที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เรื่องนี้เป็นคำตอบแล้วว่า จะตอบได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เลือกสักกลุ่ม สักสำนัก หรือสักความเชื่อลงก่อน แล้วคำตอบจะปรากฎเองว่า คุณชอบไหมหละแบบนี้ คุณคิดว่านี่มีเหตุผลไหม คุณคิดว่าสำนักนี้ หรือตำรานี้ เชื่อถือและเป็นเหตุเป็นผลโดยชอบธรรมรึเปล่า ดังนั้น คำตอบพวกนี้มีทางเดียวที่จะได้ คุณต้องเอาตัวลงเป็นผู้เล่นผู้เรียน อย่ามัวแต่ ฟังคนมาพูดไปเรื่อยๆ ว่าแบบนั้นดี ไปที่นี่สิ หาคนนั้นสิ อ่านเล่มนี้สิ เชื่อคนนี้สิ ต่อให้เขาจะคือคนในบ้าน หรือเพื่อน หรือตัวเราเองจะค้นเจอเองก็ตาม พิสูจน์และจบไปเป็นตอนๆ เป็นที่ๆ เป็นคนๆ เสีย ไม่เสียเวลาหรอก และคุ้มค่าต่อเงินทอง หรือใจที่ลงไปด้วย เพราะทุกครั้งที่คุณรู้ตัวว่า กำลังโง่ หรือ กำลังถูกหลอก ตอนนั้นคุณฉลาดขึ้นเสมอ และความฉลาด หรือการได้รู้ความจริงนั้น คุ้มค่ากว่า เวลา เงินทอง และจิตใจ ถ้าคุณจะมองหาอะไรที่ ฉลาดสุด จริงที่สุด ให้คุณไปหาดู ว่า กลุ่มไหน หรือคนที่เชื่อแบบไหน ที่เขายอมสละ เวลา ชีวิต เงินทอง และจิตใจเป็นตัวของตัวเองลงไปทำตามใครหรือความเชื่อใดบางสิ่ง นั้นหละ ของมีค่ามาก ฉลาด และจริงที่สุดของคนๆนึงที่จะจริงได้ ฉลาดได้ แต่นั้นก็อาจจะไม่ใช่ ตัวเลือกของคุณอีก
พูดมาใกล้จบเพื่อจะบอกว่า อย่าเชื่อคำสรรเสริญ คำชมมากมาย หรือ ไปเชื่อคำนินทา คำเล่าขาน ของใครคนนึง ที่พูดถึงใครอีกคนนึงเลย เชิญทำใจให้กว้างๆ เบาๆ สะอาดๆ ไปเผชิญหน้าจริงๆ ไปเรียนรู้สักหน ตัวคุณเองนั้นหละจะรู้ได้เอง หรือไม่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งอะไรเพื่อไปหาอะไรนี่ แค่ เอาอะไรที่ดีๆ มาต่อกัน ส่วนที่ไม่ดี เราก็วางลง หรือไปบอกเขาสักหน่อย ถ้าเขาจะยินดีรับฟัง เท่านั้น ก็พอแล้ว สบตาเขาสักครั้งถ้าเขายังมีชีวิตและเจอได้ง่าย คุณจะรู้ด้วยใจเอง อ่านหรือฟังที่เขาพูดบ่อยๆ ถ้าเขาเสียชีวิตไปแล้วหรือพอเจอได้ยาก คุณจะค่อยๆเห็น ใจ ความฉลาด ความจริง นั้นเอง ทั้งหมด คุณคือคนได้ประโยชน์ และประสบความสำเร็จ ใช่แล้ว ในโลกนี้ ไม่มีใคร ได้ประโยชน์และประสบความสำเร็จจากการกระทำของคุณ ไปมากกว่า ตัวของคุณเอง คุณจึงไม่ได้มีประโยชน์น้อย หรือ ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรทั้งนั้น คุณเข้าใจผิดแล้ว ที่ควรถามบ่อยๆ ถ้ามีเรื่องพวกนี้มาในหัวให้ถามว่า ตอนนี้ คุณทำอะไรอยู่ หละ ทำอะไรอยู่ หือ
ซินแซหลัว7/6/2565
ภาพประกอบบทความยามเช้า เมื่อผมกำลังจะกลับบ้านหลังจากซื้อกับข้าว เห็นหลวงตาเดินมารูปเดียว แบบช้าๆ อย่างชรา ผมทำเป็นปกติจนใจเราคิดว่า ทำไมเราทำเร็วแบบไม่ลังเล ขนาดนี้ ด้วยการหยิบเอา 1 ถุงที่ผมชอบกินที่สุด ใส่ลงไปในบาตรท่าน ใจก็ประมวลผลทันทีว่า 1.เราได้เอาของดีที่สุดจากร้านที่เราว่าดีที่สุดที่เราทานและเราชอบที่สุด ให้คนที่กำลังดำเนินรอยตามคนที่เราศรัทธาที่สุดในโลก ไม่ต้องถามว่ามาจากไหน 2.เราได้สละสิ่งที่ดีที่สุดจากร้านที่เราว่าดีที่สุดและเราอยากทานมากๆด้วย ลงไปเสีย ก็ไม่เห็นตาย หรือทุกข์ใจอะไรนี่ แสดงว่า การได้สิ่งที่ดีที่สุด ชอบที่สุด ก็อาจไม่ใช่คำตอบของความสุขใจ สงบใจ อาจจะเป็นการได้เอามันออก หรือสละมันลงต่างหาก … นี่คือ การพิสูจน์ในห้องทดลองเล็กๆริมถนน กับเสียงประมวลผลจากผู้มีความรู้เหมือนหลายคน แต่จริงๆ ริมถนนมีแต่เสียงรถผ่านไปมา และชายคนนึงที่กำลังจะขึ้นรถแบบเงียบๆ กลับบ้าน ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มกริ่มใจอะไร เพราะทั้งหมดทำไปแบบ ปกติ ที่เคยทำมา
Comentários